แห่งการตื่นรู้
เมื่อพูดถึงการตื่นรู้ เราอาจพบว่ามีคำนิยามมากมายหลายแบบ ทั้งแบบที่อิงคติความเชื่อศาสนาใดศาสนาหนึ่ง และแบบที่อิงประสบการณ์ตรงล้วนๆ หรือแบบผสมผสาน ดังเห็นได้จากหนังสือ “ONE หนึ่งเดียวกัน” รวบรวม 40 คน 40 ประสบการณ์ตื่นรู้ และมีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือเมื่อถามผู้ตื่นรู้ทั้ง 40 คนว่า “ท่านคิดว่า การตื่นรู้ส่งผลอย่างไร ต่อสังคมในภาพรวม” ทุกคนตอบทำนองเดียวกันว่า ส่งผลดีแน่นอน เพราะจะสร้างความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ช่วยให้คนในสังคม ลุกขึ้นมาแก้ปัญหาด้วยวิธีสร้างสรรค์
ผู้เขียนก็เห็นเช่นนั้นเหมือนกัน และยังเห็นว่าเราสามารถบ่มเพาะการตื่นรู้แบบเรียบง่าย โดยสร้างบรรยากาศแห่งความรักความไว้วางใจขึ้น ซึ่งเริ่มต้นจากตัวเราได้ เพียงเราเปิดใจและให้ความรักความไว้วางใจได้เผยออกมา จากนั้นก็ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ เพื่อให้ความรู้สึกไม่มั่นคง ความระแวงสงสัย ซึ่งเกาะกุมหัวใจผู้คนมายาวนาน ได้แปรสภาพกลายเป็นความตื่นรู้ต่อบรรยากาศแห่งความรักความไว้วางใจ เหลือไว้แต่หัวใจเปี่ยมรักที่มีปัญญาพร้อมจะแก้ปัญหาด้วยวิธีสร้างสรรค์
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เห็นความเชื่อมโยง เราอาจอาจจำแนกการตื่นรู้ออกเป็น 3 มิติ ดังนี้
การตื่นรู้มิติที่ 1 คือการรู้สึกตัวตื่น (Awareness)
คือการตระหนักรู้ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ รับรู้ความเป็นจริงอย่างตรงๆ ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 และรับรู้การทำงานตามธรรมชาติของร่างกาย รวมทั้งการรับรู้ความคิดและอารมณ์ที่ผุดขึ้นมาในฐานะข้อมูลที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต โดยไม่ตีความสิ่งที่รับรู้ว่าดีหรือร้าย
ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยฟื้นคืนการตระหนักรู้ที่มีอยู่ตามธรรมชาตินี้ คือการดูแลร่างกายให้เลือดลมไหลเวียนดีเพื่อพาออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ เช่น ฝึกหายใจลึกๆ ช้า ๆ และไม่ปล่อยให้ร่างกายมีสภาพสะลึมสะลือเพราะเมาหรือง่วง หรือกระตุ้นร่างกายและสมองให้ทำงานจนเกินพอดี ซึ่งจะทำให้การรับรู้ไม่แจ่มใสและตีความสิ่งที่รับรู้ตามที่จิตใต้สำนึกบงการ แล้วยึดมั่นการตีความนั้นว่าเป็นความจริง
การตื่นรู้มิติที่ 2 คือการตื่นรู้ทางพลังงาน (Energetic Awakening)
คือการตื่นรู้ทางร่างกาย เพื่อบ่งบอกว่าร่างกายสะสมความเจ็บปวดทางอารมณ์ไว้มากเกินทนรับไหว เกิดการคั่งค้างของพลังงานรุนแรงจนพลังงานไหลเวียนติดขัด
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการตื่นรู้เช่นนี้คือ ความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง หรือพลังแฝงในร่างกายระเบิดออกมา เกิดเป็นภาวะตัวตนสลาย (Ego-Dissolution) พลังงานมหาศาลที่เคยใช้ไปกับการสร้างความภาคภูมิใจและความทะนงตน จะถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายจนหมดสิ้น เราจึงรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเหมือนคนใกล้ตาย หมดสิ้นความดิ้นรนพยายาม แต่นั่นคือช่วงเวลาที่ร่างกายกำลังฟื้นตัว หลังจากนั้นพลังงานในร่างกายจะไหลเวียนดีขึ้น
การตื่นรู้มิติที่ 3 คือการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ (Spiritual Awakening)
คือการตื่นรู้ต่อปัญญาภายใน ซึ่งสว่างวาบเหมือนสายฟ้าฟาดลงมา เพื่อเปิดเผยความจริงเรื่องการดำรงอยู่ของสรรพชีวิตทั้งมวล ซึ่งเราหลงลืมมานาน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการตื่นรู้เช่นนี้คือ การตระหนักรู้อย่างทรงพลัง เมื่อเราตื่นรู้ต่อปัญญาภายใน เราจะเชื่อมโยงเข้ากับพลังรักอันอบอุ่นจากสรรพชีวิตทั้งมวล หยั่งรากลึกลงสู่ประสบการณ์ตรงหน้า เปิดจิตสำนึกแผ่กว้างและสัมผัสความหมายของการมีชีวิตอีกครั้ง ระลึกได้ว่าแท้จริงนั้นเราคือใคร และมีชีวิตเพื่ออะไรบางอย่าง
เมื่อพิจารณาการตื่นรู้ 3 ทั้งมิติ เราจะเห็นความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันเป็นพลวัต คือหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านได้ ทั้งยังเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันได้ และเมื่อถึงที่สุดแล้วก็ตัดตรงสู่การตื่นรู้โดยสมบูรณ์ มีจิตวิญญาณสว่างไสวเหมือนโคมไม่รู้ดับ นำทางมวลชนเข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียว
เราทุกคนล้วนอยู่บนหนทางแห่งการตื่นรู้ และเราเกื้อกูลการตื่นรู้แก่กันได้ เพียงยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ขณะนั้นและสร้างปัจจัยที่เกื้อกูลการตื่นรู้ แม้เป็นเพียงการตื่นรู้เล็กๆ แต่ก็นำไปสู่การตื่นรู้ที่ยิ่งใหญ่หรือการตื่นรู้ที่สมบูรณ์ได้ ตราบเท่าที่เรายังมีชีวิต ยังมีลมหายใจ การตระหนักรู้ซึ่งเป็นศักยภาพที่มีอยู่แล้วภายในตัวเราย่อมสำแดงพลังออกมา
![](https://weoneness.com/wp-content/uploads/2021/05/awareness-diagram-480x480.png)
![one altogether collage](https://weoneness.com/wp-content/uploads/2021/03/about1.jpeg)
![Picture of We Oneness](https://weoneness.com/wp-content/uploads/2019/06/we-oneness-logo-300x300.jpg)