ความอัศจรรย์อย่างหนึ่งของการเป็นมนุษย์คือ การใช้ความรู้สึกสัมผัสรับรู้ได้โดยไม่ต้องคิด บางครั้งก็เรียกว่าการใช้หัวใจ เมื่อเรามีความรู้สึก เราจึงรู้ว่าแค่ไหนคือรับไม่ไหวจริงๆ หรือรู้ว่าแค่ไหนที่เพียงพอแล้ว เหมือนเวลาที่เรากินอย่างรู้สึกตัว เรารู้สึกถึงรสชาติของอาหารสัมผัสลิ้น เรารู้สึกถึงปริมาณอาหารที่แน่นอยู่ในท้อง เรารู้สึกว่าบัดนี้ความหิวได้มลายไปแล้ว และเรารู้สึกว่าอิ่มแค่นี้เพียงพอแล้ว
หลายครั้งที่เราเจ็บจนไม่อยากรู้สึก เหนื่อยจนไม่อยากหายใจ แต่เมื่อเรายังต้องอยู่รอดต่อไปบนโลกนี้ ไม่ว่าจะเพื่อตัวเองหรือเพื่อคนที่เรารัก เราจึงสร้างกลไกป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกท่วมท้น หากมองในแง่ดี กลไกป้องกันตัวช่วยให้เรากลับมาตั้งหลักก่อนเผชิญหน้ากับความรู้สึก แต่โดยทั่วไปแล้วเรามักเผลอใช้มันจนกลายเป็นนิสัย กลไกป้องกันตัวที่พบบ่อยคือ การเก็บกดความรู้สึก การแยกตัวออกจากความรู้สึก และการโยนความรู้สึกให้คนอื่นเป็นแทน
การใช้กลไกป้องกันตัวทุกวันจนเป็นนิสัย จะทำให้เราไม่สามารถเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่แฝงเร้นได้ จริงอยู่ที่ความรู้สึกหลายอย่างเป็นพลังงานไม่สร้างสรรค์ บั่นทอนความอยู่ดีมีสุขของเรา เช่น ความรู้สึกผิด ความวิตกกังวล ซึ่งเป็นความรู้สึกที่บ่งบอกว่ากำลังเกิดเหตุขัดข้องในจิตใจ แต่เมื่อใดที่เราเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่แฝงเร้นอยู่ ความรู้สึกเหล่านั้นก็จะกลายเป็นพลังงานสร้างสรรค์ได้ ดังที่ ติช นัท ฮันห์ ปรมาจารย์เซนกล่าวไว้ว่า “ไม่มีโคลนตม ก็ไม่มีดอกบัว”
ความรู้สึกผิดอาจเปรียบเหมือนโคลนตม เมื่อมีใครคนหนึ่งต้องฝืนใจทำสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกจากใจจริง คนคนนั้นย่อมต้องเกิดความรู้สึกผิด และหากต้องฝืนใจทำซ้ำๆ หลายชาติภพโดยไม่มีทางเลือก ก็ยิ่งต้องแบกความรู้สึกผิดไว้มหาศาลและทุกข์ทรมานแสนสาหัส แต่เมื่อวันหนึ่งเขารู้สึกว่าไม่อาจแบกความรู้สึกผิดได้อีกต่อไป พลังงานมหาศาลนั้นจะผลักดันให้เขาปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ และตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะยุติการทำสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกจากใจจริง
เช่นเดียวกับเราที่มักถูกความเร่งรีบบีบคั้นให้ต้อง เบียดเบียนตัวเองหรือผู้อื่นไม่ทางตรงก็ทางอ้อม แต่ในใจลึกๆ เราไม่ได้อยากทำเช่นนั้นเลย และอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร หรือแม้รู้แล้วก็ยากเกินกว่าจะลงมือทำได้ตลอดรอดฝั่ง แต่หากเรายังมีความรู้สึก สักวันพลังจากความรู้สึกผิดซ้ำๆ ที่แฝงอยู่ในตัวเรา ก็จะปลุกให้เรารู้สึกตัวตื่นกลายเป็นความสำนึกผิด และตั้งใจมั่นที่หาทางออกจากเงื่อนไขที่บีบคั้นให้เรา ต้องเบียดเบียนตัวเองหรือผู้อื่น