ลองจินตนาการว่าเรากำลังเดินหลงทางอยู่ในป่าที่ไม่รู้จัก ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร พอแสงตะวันลับขอบฟ้า ก็เริ่มมองไม่เห็นทาง ความกลัวความสงสัยเริ่มผุดขึ้นในหัว “จะมีสัตว์ร้ายไหมหนอ” “จะมีผีหรือเปล่า” “เราจะออกจากป่าได้ไหม” “จะมีใครมาช่วยเราบ้าง” พยายามค้นทั่วตัวก็ไม่พบอะไรที่จะใช้ส่องทางได้เลย มีเพียงแสงจันทร์สลัวที่ส่องลอดกิ่งไม้ลงมาเท่านั้น จะเดินไปทางไหนก็ไม่มั่นใจ
เราอาจเคยเกิดความรู้สึกเช่นนี้ตอนเผชิญกับวิกฤตการณ์ในชีวิต เราอยากหาทางออกจากปัญหาที่รุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเงิน การงาน สุขภาพ ความรัก เมื่อมองไม่เห็นทาง เรายิ่งกลัวยิ่งสงสัยไปต่างนานา ซ้ำยังจินตนาการให้น่ากลัวขึ้นไปอีก สิ่งเดียวที่พอจะปลอบใจให้หายกังวลได้บ้าง ก็เป็นเพียงภาพฝันเลือนรางที่ไม่อาจมั่นใจว่าจะกลายเป็นจริง ไม่กล้าแม้แต่จะลองทำดู เพราะเราต้องการทางออกที่เป็นรูปธรรม เราต้องการสิ่งที่เป็นหลักประกันเพื่อให้อุ่นใจ
เมื่อไม่กล้าลองทำอะไร สุดท้ายเรายิ่งกลัวหนักกว่าเดิม เราเหมือนถูกบีบให้อยู่ในที่แคบ เรารู้สึกบีบคั้นจนแค่มีอะไรกระทบนิดหน่อย เราก็เผลอพูดหรือทำอะไรอะไรแย่ๆ ออกไปอย่างไร้ทางเลือก เหมือนหมาจนตรอกที่พร้อมจะป้องกันตัวเพราะเห็นทุกอย่างเป็นภัยคุกคาม กิจวัตรประจำวันหรือการงานที่เคยทำได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด ก็เริ่มสะดุด เริ่มเละเทะ ทำอะไรก็สับสนวุ่นวายไปหมด แม้กระทั่งยามลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าที่อากาศสดใส ยังรู้สึกหม่นหมองไร้เรี่ยวแรง
ภาพอดีตและประสบการณ์ฝังใจอันเจ็บปวดทรมาน เป็นเหมือนเมฆหมอกที่คอยบดบังแสงสว่างในชีวิตเรามาเนิ่นนาน เราได้แต่แอบหวังว่าจะมีใครหรืออะไร ที่เป็นเหมือนแสงตะวันเจิดจ้าสาดส่องเข้ามาในชีวิต ช่วยพลิกวิกฤตหรือช่วยหาทางออกให้เรา ช่วยให้เราหลุดพ้นจากสภาพที่แสนอึดอัดไม่สบายนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง และนับวันก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดไม่สบายหนักกว่าเดิม โลกนี้กลายเป็นสถานที่น่าสะพรึงกลัว มองไปทางไหนก็ไม่รู้สึกอบอุ่นใจ
เราไม่รู้ว่าตนเองคือใคร และไม่รู้ว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร เราอยากหายไปจากโลกนี้ ไปที่ไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ที่นี่…บัดนี้เราถูกความสิ้นหวังกลืนกินเข้าแล้ว ความอึดอัดไม่สบายในตัวเราที่สะสมมานาน เริ่มกลายเป็นอารมณ์ปั่นป่วน และทวีกำลังขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงกระทบที่เข้ามาในชีวิต เหมือนลมพายุที่พร้อมจะพัดพาทุกอย่างให้พังพินาศ แต่สุดท้ายกลายเป็นเราเองที่พังย่อยยับเหลือแต่ซาก ทำได้แค่มองอย่างตกตะลึง แล้วก็กลับมาดำเนินชีวิตต่อไปด้วยหัวใจที่นิ่งสงบ
บ่อยครั้งที่ชีวิตเราเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงมาจากฟ้าเบื้องบน เพื่อเปิดเผยความจริงที่เราหลงลืม ก่อนหน้านี้เรามีชีวิตเหมือนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดไร้แสงแห่งความหวังใดๆ บัดนี้เราตระหนักว่าเมฆหมอกที่เคยลอยเต็มฟ้าได้สลายหายไป เหลือไว้เพียงดวงดาวสว่างพร่างพราย ส่องแสงระยิบระยับมีชีวิตชีวา เรารู้ว่าชีวิตที่สว่างไสวกำลังรอเราอยู่เบื้องหน้า เรารู้ว่าอีกไม่นานฟ้าจะสว่างและทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม
การเผชิญกับวิกฤตการณ์ในชีวิตอาจทำให้เรากลัว แต่เมื่อกลัวสุดขีด สุดท้ายกลับกลายเป็นไม่กลัว ในสภาวะเช่นนี้ เราจึงเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เป็นอิสระจากภาพอดีตและประสบการณ์ฝังใจ ทันใดนั้นพลังรักอันอบอุ่นจากสรรพสิ่งทั้งมวลก็หลั่งไหลเข้ามาทั่วร่างของเรา ระลึกได้ว่าแท้จริงนั้นเราคือใคร และมีชีวิตเพื่ออะไรบางอย่าง เกิดเป็นพลังใจที่จะก้าวเดินต่อไป แม้ยังไม่เห็นทางออกปรากฏตรงหน้า แต่ก็รู้สึกไว้วางใจว่ากำลังเดินถูกทางแล้ว นี่เองคือการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ
ดังที่ รูมี กวีผู้มีปัญญาลึกซึ้งเปรียบเปรยไว้ว่า
ฉันตาย แล้วก็คืนชีพ
ฉันร่ำไห้ แล้วก็หัวเราะ
พลังรักมาสถิตในตัวฉัน
ฉันเริ่มคำรามดุจราชสีห์
แล้วก็อ่อนโยนดังดวงดารา

Photo by Johannes Plenio on Unsplash
