Search
Close this search box.

ตื่นใจไปด้วยกัน

“ สิ่งที่เราค้นพบ คือ ศักยภาพของใจอันเปราะบาง เปิดกว้าง และไม่มีเงื่อนไข มันเป็นความธรรมดาอันเปลือยเปล่า มันเปิดเผย และยอมรับทุกๆ ตัวตน ทั้งดี ทั้งชั่ว มีพื้นที่ให้กับความคิดและอารมณ์เหล่านั้นได้มีที่มีทางของมัน ในพื้นที่การรับรู้ของใจ”

ปวีณ นาคเวียง หรือวิน หนุ่มใต้เครางามจากจังหวัดสุราษฎร์ฯ ตอนเอ็นทรานซ์วินสอบติดคณะวิศวกรรมแต่กลับเรียนจบเป็นบัณฑิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เขาเคยฝึกใช้ชีวิตเป็นช่างไม้ลูกมือครูสล่าอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะออกบวชถือครองเพศบรรพชิตอยู่นาน 6 ปี ระหว่างนั้นพระวินได้รับการถ่ายทอดคำสอนเรื่องโพธิจิตจากหลวงพ่อสด หลังลาสิกขาจึงได้นำองค์ความรู้เรื่องการภาวนามาจัดกิจกรรมด้านการตระหนักรู้ต่อตัวเอง สังคม สิ่งแวดล้อม และได้ร่วมกลุ่มทำกิจกรรมกับวัชรสิทธา

ในช่วงโควิดวินเดินทางกลับบ้านเพื่อมาดูแลพ่อแม่ ทดลองทำสวน ร่วมกันกับคนรักขายไม้ประดับในชื่อ Madee Garden และ หมื่นพันธุ์ไม้ พร้อมกับเปิดเพจ “ตื่นใจไปด้วยกัน” เพื่อให้คำปรึกษาทางด้านจิตวิญญาณ ที่เรียกว่า Spiritual Counselling

ชีวิตฉบับย่อ

เราเป็นลูกชายคนโตที่เกิดมาในครอบครัวข้าราชการครูในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดสุราษฎร์ธานี คุณพ่อคุณแม่ท่านสอนอยู่ที่อำเภอเคียนซา ซึ่งในตอนนั้นเป็นพื้นที่สีแดงที่รัฐได้ใช้กำลังเข้าปราบปรามเครือข่ายแนวร่วมคอมมิวนิสต์ ด้วยความรักท่านจึงพาเราไปฝากไว้ให้ญาติฝ่ายพ่อเลี้ยงดูตั้งแต่เล็กๆ ชีวิตเราเริ่มเติบโตและเริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่ไชยา

เราจบชั้นประถมที่โรงเรียนวัดชยาราม และได้สอบเข้าไปเรียนมัธยมที่โรงเรียนสุราษฎร์ธานี จากนั้นได้เอ็นทรานซ์เข้าไปเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี แต่เรียนไม่จบ เราออกมากลางคันในปีที่ 3 มาอาศัยใช้ชีวิตอยู่แถวๆ รามคำแหงอยู่ครึ่งปี ก็ตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เลือกเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

ครั้งนี้เรียนจนจบการศึกษาและได้ออกไปทำงานที่เชียงใหม่ จนสนใจเกี่ยวกับช่างไม้พื้นเมือง จึงเรียนรู้เพิ่มเติมกับเหล่าครูสล่าช่างไม้ จากนั้นก็ได้กลับบ้านมาบวช ตั้งใจจะบวช 15 วัน แต่ทำไปทำมายาวไปเลย 6 ปี หลังจากตัดสินใจลาสิกขาก็มาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งใจจะใช้ประสบการณ์จากที่ได้เรียนรู้มาถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ จึงได้ร่วมกลุ่มทำกิจกรรมกับวัชรสิทธา จากนั้นสถานการณ์โควิดก็ระบาดหนัก เลยตัดสินใจกลับบ้านมาดูแลพ่อแม่ที่เคียนซาและเริ่มทำสวน

ความจริงเข้าถึงไม่ได้ด้วยความคิด

หวนนึกถึงเหตุการณ์หลายเรื่องราวที่นำเราไปสู่สภาวะนี้ เรื่องราวเหล่านั้นสัมพันธ์กับเราผ่านความสัมพันธ์แบบครูศิษย์ คงเริ่มจากครูสล่า ในตอนนั้นเราได้มีโอกาสไปร่วมออกแบบและปลูกสร้างบ้านไม้ที่ปัว จังหวัดน่าน และเราเริ่มมีความหลงไหลในงานทำมือ จึงขอเรียนรู้วิชาช่างไม้จากครูสล่าที่มาเป็นคนงานก่อสร้าง วิชาแรกที่เราได้เรียนคือ การลับมีดลับขวาน ทุกๆ เช้าหน้าที่เราคือลับมีดขวานให้คมพร้อมใช้งาน เริ่มจากมีดขวานของตัวเอง เมื่อเริ่มลับชำนาญขึ้นก็บริการลับมีดให้พี่ๆ สล่า

สิ่งที่ได้คือ ขณะลับมีดในทุกๆ เช้า เราได้ใคร่ครวญเรื่องต่างๆ มากมาย เหมือนเป็นการเคลียร์ใจไปในตัว และเมื่อเรื่องว้าวุ่นใจลดลงก็เริ่มอยู่กับการลับมีดมากขึ้น เริ่มรู้จังหวะ รู้แรง รู้ตำแหน่งในการลับ นั่นคือพื้นฐานที่ครูสล่ามอบให้ผ่านการลับมีด คือความรู้ตัวทั่วพร้อม และเป็นสมาธิ

จากนั้นท่านก็ถามว่า จมูกเราดีไหม แยกแยะไม้ได้ไหม เราในตอนนั้นได้แต่สายหัวไม่รู้อะไรเลย ตอนนั้นเราสูบบุหรี่จัดมาก แต่ในใจเริ่มคิดได้ละว่า ถ้าจะให้รู้ชัดเรื่องกลิ่นไม้ จมูกเราต้องรับกลิ่นได้ชัดก่อน เราจึงตัดสินใจลด ละ แต่ยังไม่เลิก จนหยุดได้ในที่สุด ครูสล่าให้เราไปฝึกถากเสาไม้ โดยใช้ขวานถากไม้ซุงให้เป็นเสากลมๆ เราเองก็ทำตามที่ครูบอก จับขวานแบบนี้ ลงแรงแบบนี้

ทำไปเรื่อยๆ ประสบการณ์ในการถากไม้ก็เริ่มเกิดขึ้น มือที่ไม่เคยจับขวานเริ่มแตกพอง กล้ามเนื้อแขนที่ไม่ได้ทำงานหนักๆ เริ่มฉีก

pravin8

ช่วงสองสัปดาห์แรกเราถากไม้อย่างไม่มีความสุขเลย แต่มือเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ขวานมากขึ้น ร่างกายเราเริ่มปรับเข้ากับการถากไม้ อาการปวดเริ่มทุเลา พอเริ่มคล่องตัว เราก็ปล่อยวางร่างกายที่หนักอึ้งนี้ไปได้แขนและขวานเป็นดั่งกันและกัน ความผ่อนคลายและความเพลินในการทำงานเริ่มต้นขึ้นจากจุดนั้น เราเริ่มรับรู้ได้ถึงกลิ่นไม้ชัดขึ้นมากๆ

หลังจากที่เริ่มเป็นหนึ่งเดียวกับการถากไม้ และเริ่มแยกแยะออกว่า เสาต้นนี้ต่างจากต้นนั้นยังไง ทั้งสี กลิ่น เซี่ยนไม้ บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของไม้แต่ละชนิด ประสบการณ์เหล่านั้นบ่มเพาะกลายเป็นความชำนาญ ความชำนาญนี้ได้ถูกนำไปใช้ในการเข้าป่าหาเห็ดหาผัก เรารับรู้ได้ละเอียดขึ้นมาก ตื่นตัว หูไว ตาไว จมูกไว รับรู้ผิวกายได้ไว แต่ไม่ตะหนกตกใจ จนเป็นทักษะติดตัว

ศิษย์พบครู

เหตุการณ์ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญคือช่วงที่ตั้งใจบวชให้คุณย่า ทดแทนคุณที่ท่านได้เลี้ยงดูเรามาแต่เด็ก ทุกวันในช่วงค่ำคืนเราจะมีกิจกรรมคุยกันที่กุฏิท่านอาจารย์สด วิชชาธโร และทุกครั้งก่อนจะแยกย้ายกันนอน ท่านจะถามเสมอว่า บวชมาทำไม คำถามนี้แหละที่เข้าไปทำงานกับความรู้สึกลึกๆ ข้างใน ชวนให้อยากได้คำตอบเกี่ยวกับชีวิต

และเมื่อท่านถามขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เราได้ตอบท่านไปว่าขอบวชให้คุณย่าเสร็จก่อน แล้วจะบวชให้ตัวเองบ้าง เราอยากรู้ว่าเกิดมาทำไม และเราคือใคร ท่านก็ยิ้มๆ ยืนยันที่จะกลับมาถามคำถามเดิมว่า แล้วบวชมาทำไม แต่คราวนี้คำถามนั้นไม่ได้รู้สึกลำบากใจที่จะตอบ หรือรีบที่จะหาคำตอบอีกแล้ว เราจึงขอโอกาสท่านไปว่า ขอให้ผมได้เรียนรู้กับท่านอาจารย์นะครับ แล้วก้มลงกราบท่าน ความสัมพันธ์แบบครูศิษย์ทางจิตวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้

ครูสอนให้สังเกตปรากฎการณ์ของธรรมชาติ ท่านคงรับรู้ได้ว่าเราเป็นคนประเภทชอบคิดชอบตั้งคำถาม ท่านจึงไม่สอนหลักการทำสมาธิให้เลย ถามเรื่องสมาธิ ท่านก็ไม่ตอบ ไม่สอนให้ แต่สิ่งที่ได้จากท่านอาจารย์คือ ในทุกๆ วันท่านจะให้เราเดินดูสิ่งต่างๆ ในวัด สำรวจพื้นที่ต่างๆ กวาดทำความสะอาด เมื่อทำความสะอาดเสร็จในแต่ละจุด ท่านจะชวนนั่งลง และให้มองเงาไม้ที่ทอดผ่านผนังปูนบ้าง พื้นทรายบ้าง ให้เราดูมันราวกับดูสารคดี

 

เราค่อยๆ ซึมซาบการการมองแบบไม่จดจ่อ แค่ทอดสายตาออกไปเฉยๆ ปล่อยให้แสงเงาเหล่านั้นปรากฎขึ้นมาตามธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงการหายใจของร่างกาย การเต้นของหัวใจ มันมหัศจรรย์มาก หลังจากตามท่านไปทำความสะอาดวัดทุกวัน นานวันเข้าสิ่งเหล่านี้ก็เริ่มก่อตัวจนกลายเป็นทักษะ

ภาวะไร้นิยาม

แม้เราจะมองโลกเปลี่ยนไปจากมุมเดิมๆ แต่ใจก็ยังกระด้างอยู่ จนได้รับคำสอนเรื่องโพธิจิตจากท่านอาจารย์สด การเปลี่ยนแปลงในรอบนี้ทำให้เราไม่ละอายที่จะเปลือยใจ ไม่ใช่มุมมองที่เปลี่ยนไปอย่างเดียว แต่การปฏิสัมพันธ์กับโลกก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

เราพบว่า การตื่นรู้นั้นไม่ใช่การรู้คนเดียว แต่มันคือทั้งหมด แรงกระเพื่อมจากใจที่ส่งออกมาจะเริ่มปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่โดยรอบ และเชื่อมโยงไปยังสิ่งต่างๆ ทั้งหมด เท่าที่ข่ายการรับรู้ของเราจะเปิดออกได้ เมื่อเราเข้าใจความทุกข์ในใจเราได้ เราจะเริ่มสัมพันธ์กับความทุกข์ของคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ต่างไปจากเราเลย นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เราร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกันได้ การเกื้อกูลกันเริ่มจากจุดนี้

ประสบการณ์ตรงในเรื่องนั้นๆ คือ คุณค่าที่ได้รับรู้ เราใช้การภาวนาในการเข้าถึงประสบการณ์ตรงของภาวะไร้นิยาม สภาวะต่างๆ ในสมาธิ ปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นร่วมระหว่างการภาวนา สิ่งเหล่านี้มีความหมายมาก มันจะค่อยๆ เปิดการรับรู้เรื่องธรรมดาๆ ของธรรมชาติให้เห็นชัดเจนขึ้น ผ่านพื้นที่ของการตระหนักรู้ เพื่อให้เราทำความเข้าใจชีวิต ทำความเข้าใจโลกแบบองค์รวม

เราจะเริ่มเห็นตัวเราของเราที่ไม่จีรังยั่งยืนในมิติต่างๆ เริ่มเห็นกฎของธรรมชาติตามความเป็นจริง เห็นเหตุปัจจัยที่สืบเนื่องร้อยเรียงกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่อมุมมองในการมองโลกของเราอย่างมาก

พบพื้นที่และการทำงานของใจ

สิ่งที่เราค้นพบคือศักยภาพของใจอันเปราะบาง เปิดกว้าง และไม่มีเงื่อนไข มันเป็นความธรรมดาอันเปลือยเปล่า มันเปิดเผยและยอมรับทุกๆ ตัวตน ทั้งดี ทั้งชั่ว มีพื้นที่ให้กับความคิดและอารมณ์เหล่านั้นได้มีที่มีทางของมันในพื้นที่การรับรู้ของใจ

การตื่นรู้นั้นทำให้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบพังทลาย ยอมศิโรราบกับความจริงของความธรรมดาที่ไม่สมบูรณ์เลยของชีวิต ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บงการควบคุมอย่างถาวรไม่ได้ เรายอมแล้ว ยอมรับความจริงนั้น ชีวิตเราเรียบง่ายขึ้น ปรุงรสเท่าที่จำเป็น มีอิสระจากมุมมองเดิมๆ อันคับแคบที่ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ น่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

หากไม่ได้ฝึกฝนตนมาถึงจุดนี้ แทบเดาไม่ออกเลยว่าเราจะทนทุกข์มากแค่ไหนในการใช้ชีวิต เราจะสร้างเงื่อนไขให้ชีวิตมากเท่าไรถึงจะสมบูรณ์แบบอย่างที่โลกนั้นหมุนไป

การเข้าถึงการตื่นรู้นั้น จะว่ายากหรือง่ายนั้นอยู่ที่มุมมอง ถ้าเรามองเห็นและใจเรามีทิศทางแล้ว จะยากหรือง่ายไม่สำคัญอีกแล้ว ความกรุณาที่มีอยู่ในใจจะเริ่มทำงาน การคิด การพูด และการกระทำจะเกิดจากความเข้าใจ และจะสามารถรับรู้ได้อย่างตรงไปตรงมา

ความมืดสีขาว

กับดักและหลุมพรางบนเส้นทาง เราเรียกมันว่าความมืดสีขาว มันคือความหลงตนเองว่าดีว่าเก่งกว่าคนอื่น Perfect Illusion สิ่งนี้จะทำให้เราหลงเข้าไปยึดจนแยกไม่ออกอีกครั้ง

ต้องขอบคุณท่านอาจารย์และเหล่ากัลยาณมิตร ทุกๆ ครั้งที่เราได้ประสบการณ์ตรงจากการภาวนา หรือสังเกตจากปรากฏการณ์ในธรรมชาติจนมันกระจ่างชัดขึ้นมา เราจะนำมาบอกเล่า แล้วท่านเหล่านั้นก็จะบอกว่า “ก็แค่นั้นแหละ พรรณนั้นแหละ” อย่างไม่น่าเชื่อ คำๆ นี้มีพลังมากในการปล่อยวาง จนมันเริ่มซึมซาบมาสู่ใจ “แค่รู้แล้วก็ปล่อย” นั่นคือพื้นฐานเลยครับ

โพธิจิตที่มีชีวิต

เพจตื่นใจไปด้วยกัน เกิดขึ้นมาจากการคิดถึงวันคืนเก่าๆ ที่ได้เรียนรู้กับท่านอาจารย์สด วิชาธโร ท่านเป็นทั้งครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนร่วมทาง เป็นกัลยาณมิตร ผมถูกสอนและทดสอบมาแบบครูศิษย์ อย่างหนึ่งที่ถูกสร้างและพัฒนามาโดยตลอดคือ การรับรู้อาการของร่างกายและจิตใจของกันและกัน

สิ่งนี้เองที่ถูกเรียกว่าการพัฒนาสัมปชัญญะบนพื้นฐานของโพธิจิต สิ่งที่ได้รับมานั้นทำให้เกิด calling ขึ้นมาอีกครั้งในช่วงปีนี้ เป็นช่วงที่เรากลับมาอยู่บ้าน กลับมาเป็นชาวสวน กลับมาเรียนรู้เรื่องโพธิจิตสัมพัทธ์ (Awakening Heart Relatively)

ซึ่งในส่วนหลังนี้ ได้คำชี้แนะจากที่ได้คุยกับพี่ตั้ม วิจักขณ์ พานิช ที่วัชรสิทธา ซึ่งช่วงนั้นเราได้ไปร่วมทำกิจกรรมที่นั่นเป็นประจำ ก่อนวิกฤตโควิตระบาดหนัก พี่ตั้มได้ทักไว้ว่า

“วิน โพธิจิตสัมพัทธ์เป็นส่วนสำคัญนะ และมันต้องใช้เวลาเลยล่ะในการทำความเข้าใจ มันมีชีวิต‘’

คำพูดประโยคนี้ช่วยเปิดพื้นที่ให้เราได้เริ่มสำรวจอีกครั้งในวิถีฆราวาส 

Calling นี้มันดังอยู่ภายในตลอดเวลา ราวกับว่า เราต้องทำอะไรสักอย่างแหละ แต่ก็ยังไม่รู้จะทำอะไรให้ออกมาเป็นรูปธรรมสักที จนวันนึงก็คิดได้ว่า บรรยากาศตอนคุยกับท่านอาจารย์เป็นแบบไหนบ้างนะ เราคุยกันอย่างเปิดอกเปิดใจ อย่างผ่อนคลาย รู้สึกถึงการโอบอุ้มวงสนทนาได้ด้วยกัน เราคุยกันบนพื้นฐานของมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องการเรียนรู้ถึงศักยภาพของมันอย่างแท้จริง

pravin10

เราคุยกันถึงแบบแผนการใช้ชีวิต ความคุ้นชินต่างๆ คุยกันในเวอร์ชั่นตัวตน ณ ปัจจุบัน มีนิทาน ตำนานบ้าง แต่นั่นก็เป็นส่วนน้อย ไม่ถามเซอะแซะไปก็ไม่เกิดบทสนทนาในส่วนนี้

สิ่งเหล่านี้เองที่เราได้ฝึกการฟังที่ใช้ความรู้เนื้อรู้ตัวทั้งหมดอยู่ร่วมกันในขณะนั้น ราวกับว่าเราได้ถูกฝึกให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เพื่อที่จะปลดปล่อยศักยภาพของความเป็นมนุษย์ พอระลึกได้ถึงจุดนี้ ก็นั่งซึมซาบและเปิดจิตเปิดใจให้อะไรก็ได้ได้ผ่านเข้ามา วางจิตวางใจต่อความว่างและความไม่รู้ตรงหน้า เพื่อให้เห็นความเป็นไปได้ทั้งหมดที่เราพอจะทำได้ในโมงยามนี้

แล้วโปรเจ็ค Spiritual Counselling ก็ค่อยๆ ปะติดปะต่อกันเข้ามา การคุยกันแบบตัวต่อตัว การรับฟัง การให้คำปรึกษา เนื้อหาของการภาวนา จิตวิทยาสมัยใหม่ แพทย์แผนไทย การแบ่งบันประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ และก็นึกขึ้นได้ว่า สิ่งนี้เองที่เรายังไม่ได้เริ่มทำตอนที่ร่วมงานกับทางวัชรสิทธาในตอนนั้น 

pravin17

วันที่ 28 พฤษภาคม 2564 จึงได้ตัดสินใจเปิดพื้นที่คุยกันเป็น Private Session ลงในเพจ Inner Journey: แผนที่ใจ รับสมัคร 4 คนแรก และได้คิดคำไว้ว่า #ตื่นใจไปด้วยกัน เพราะว่าเราได้รับรู้ความรู้สึกนี้จากที่ได้พูดคุยกับท่านอาจารย์ จึงขอใช้ชื้อนี้แล้วกันว่ะ เป็นการเชื่อมโยงกับบรรยากาศและคำสอนต่างๆ ที่รับรู้มา จากนั้นก็ได้ทำมาเรื่อยเลยในทุกๆ เดือน

รู้สึกขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่แวะเวียนเข้ามาพบปะพูดคุยกันในลักษณะ Deep Conversation และแบ่งปันประสบการณ์ หลังจากได้พูดคุยกันก็รีวิวให้ และยังส่งข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มาสนับสนุนอยู่เสมอ อบอุ่นมากครับ และสิ่งเหล่านี้เองทำให้เกิดการรวมกลุ่มกันอีกภายในแวดวงคนที่ได้ร่วมกิจกรรมกันแล้ว และต้องการที่จะฝึกฝนตนเองบนเส้นทางการตื่นใจไปด้วยกัน จึงจัดเป็นกลุ่มภาวนาเล็กๆ ในการพัฒนาสัมปชัญญะบนพื้นฐานของโพธิจิต เป็นการต่อยอดจากจุดเล็กๆ เหล่านั้น เริ่มมีความเป็น  Spiritual Community ขึ้นมาบ้างแล้ว และจะทำต่อไปในทิศทางนี้ #ตื่นใจไปด้วยกัน ครับ

pravin9

ชาวสวนร่วมสมัย

สำหรับโปรเจ็คชาวสวนร่วมสมัย มันมาจากความคิดที่เราอยากเชื่อมองค์ความรู้จากอดีตและวิถีชีวิตในโลกสมัยใหม่ไว้ด้วยกัน เราชอบความเป็น Localization และ การเชื่อมโยงกับแบบ Community

ทั้งหมื่นพันธุ์ไม้ Madee Garden และ  Madee Craft เกิดขึ้นได้จากความคิดที่ว่า กลับมาอยู่บ้านต่างจังหวัด แล้วจะทำอะไรกันต่อดี อย่างแรกที่มองคือศักยภาพของพื้นที่ที่เราอยู่ เราอยู่ในอำเภอเคียนซา เป็นบ้านสวนที่ปลูกยางพารารอบบ้าน และได้เอาต้นยางพาราออกไปบางส่วนเพื่อให้มีพื้นที่ว่างพอที่จะปลูกไม้ผลและพืชสวนครัว

เราเริ่มมองว่าพื้นที่ใต้ร่มไม้ยางพาราที่สูง 20 กว่าเมตรนั้นจะทำอะไรได้บ้าง ก็เลยได้เริ่มจัดสรรพื้นที่ขึ้นมาใหม่ เราเริ่มหาพวกสมุนไพรที่ต้องการแสงรำไรมาปลูกร่วมกับยางพารา และเริ่มปลูกไผ่เพิ่มไปเพื่อไว้ใช้งานเป็นโครงสร้างต่างๆ เราเริ่มสร้างโรงเรือนเล็กๆ ของไม้ประดับ ที่นั่นเป็นแหล่งอนุบาล

pravin11

จากนั้นก็เริ่มสร้างโรงเรือนหลังใหม่ในส่วนพื้นที่ว่างหน้าบ้าน โซนนี้เป็นส่วนที่รับแสงแดดได้ดีกว่า ความชื้นพอเหมาะไม่มากเกินไป เราได้ความรู้เรื่องความชื้นสัมพัทธ์และปริมาณแสงที่พอเหมาะกับการเจริญเติบโตของไม้แต่ละชนิดและช่วงวัยที่ต่างกันจากโรงเรือนหลังนี้ เรียกได้ว่าโรงเรือนหน้าบ้านเป็นพื้นที่ทดลองการเติบโตของพืชก็ว่าได้

ความรู้ที่ได้ทำให้เราเตรียมขยายโรงเรือนให้เหมาะกับไม้แต่ละชนิดแต่ละช่วงวัย เพื่อให้เค้าโตมามีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ส่วนเรื่องวัสดุปลูกที่ดีและราคาถูก เราควรจะหาได้ในท้องถิ่น จึงได้เชื่อมมิตรภาพไปยังคนในชุมชน คนที่ทำอาชีพเผาถ่านขาย โรงสีขนาดเล็ก โรงรับซื้อน้ำยาง ตลาดนัด วัด โรงเรียน อนามัย ผู้ใหญ่บ้าน สมาคมผู้สูงวัย ทำให้ได้พบแหล่งข้อมูลและแหล่งวัตถุดิบมากมาย

เราเชื่อว่าการได้เชื่อมโยงกับชุมชนที่เราร่วมอาศัย นานวันไปสิ่งที่ทำคงก่อประโยชน์ให้ชุมชนแถวนี้ได้บ้าง ช่วงแรกเริ่มมีความอึดอัดใจบ้าง เพราะเราทำสิ่งที่แปลกแหวกแนวไปจากวิถีชีวิตของคนแถวนี้ ต้องขอขอบคุณ คุณพ่อ คุณแม่ที่ให้โอกาส ด้วยสิ่งนี้เองทำให้สิ่งสร้างสรรค์ใดๆ ก็ตามเกิดขึ้นมาได้

pravin13

ชื่อหมื่นพันธุ์ไม้ เกิดขึ้นมาจากการนำความรู้ด้านความหลากหลายของพืชพันธุ์ที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาร้อยเรียงกันใหม่ให้สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทางการแพทย์ เพื่อใช้เป็นยาสมุนไพร เป็นส่วนที่ต่อยอดจากตระกูลที่ทางคุณปู่คุณทวดท่านได้ส่งทอดองค์ความรู้เหล่านี้มา เราก็ทำหน้าที่เป็นทางผ่านเชื่อมความรู้เหล่านี้สู่ลูกหลานต่อไป แต่ก็ปรับให้เหมาะกับตัวเราและโลกปัจจุบัน โดยปรับใช้เป็นพืชผักสวนครัว และนำมาตกแต่งอาคารสถานที่เป็นไม้ประดับได้ด้วยนั่นเอง

ความรู้เหล่านี้อยู่ในช่วงศึกษาเรียนรู้ทั้งเก็บตัวอย่างและเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ไปพร้อมกัน เราทำหมื่นพันธุ์ไม้ควบคู่ไปกับ Madee Garden ซึ่ง Madee Garden เป็นร้านขายไม้ประดับออนไลน์ของเราที่เปิดร้านอยู่ในแพลทฟอร์มต่างๆ ในโซเชียลเน็ตเวิร์ค และตอนนี้เรากำลังซุ่มทำ Madee Craft กันอยู่ เป็นโปรเจ็คที่เราจะนำผลผลิตในสวนของเราและวัสดุที่มีในท้องถิ่นมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ

นิเวศน์ภาวนา: ดอกไม้ที่คลี่บานออกกลางใจ

ผมมีมุมมองต่อโพธิจิตสัมพัทธ์ จากโศลกที่ท่านอาจารย์ได้มอบให้ไว้ว่า ‘’โพธิจิตสถิตอยู่ในความว่าง’’ สภาวะจิตที่ทำกิจการงานต่างๆ เพื่อประโยชน์ของสรรพสัตว์ราวกับเป็นประโยชน์ของตนเองแล้วนั้นจะเผยให้เห็นความเป็นอิสรภาพจากเงื่อนไขที่ร้อยรัดภายในจิตใจเรา และเราก็ใช้การรู้เนื้อรู้ตัวควบคู่ไปกับสภาวะจิตแบบนี้ในการปลูกต้นไม้

 

ต้นไม้มีสิ่งที่ไม่คาดคิดและคาดการณ์ไม่ได้ตลอดเวลา เราจะเห็นการก่อตัวของความคิด อารมณ์ ความรู้สึกได้ดีมากๆ โดยที่เราไม่เข้าไปแทรกแซง อย่างเช่น ความหงุดหงิดรำคาญใจ ถ้าเราเห็นการเกิดและก่อตัวของมันไม่ทัน มันก็จะมีอาการออกทางกายและคำพูดต่างๆ นานา แล้วแต่อาการของมัน

ไม่ทัน เราก็รู้ว่าไม่ทัน ดูมันไป แต่พอเราเริ่มเห็นทัน และขอบข่ายของสัมปชัญญะเริ่มโอบอุ้มสภาวะนั้นไว้แล้ว เราจะเริ่มรับรู้ถึงแรงขับดันที่ไม่มีเหตุผลภายในตัวเรา ที่คอยพยายามหาเหตุผลต่างๆ นานามาสนับสนุนว่า ต้องเป็นแบบนั้น ต้องเป็นแบบนี้ หรือน่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนี้ เราจะเริ่มรับรู้ถึงความร้อนรุ่มของใจ และเมื่อเราวางใจรับรู้อาการร้อนรุ่มนั้นได้ อาการคลี่ออกราวกับดอกไม้ทั้งสวนเบ่งบานผ่านออกมาจากกลางใจ จะทำให้กายเรารู้สึกชุ่มชื่น ตื่นตัวระยิบระยับไปหมด ต้นไม้ที่เราปลูกก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้ด้วย คนที่อยู่รอบๆ ตัวเราก็ได้รับสิ่งเหล่านี้เช่นกัน มันเป็นบรรยากาศที่สามารถรับรู้ร่วมกันได้ และอีกอย่างหนึ่ง เรามองต้นไม้เป็นครูที่สอนและทดสอบเราอยู่ตลอดเวลา

การนำความรู้เรื่องโพธิจิตมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต มันคือขั้นตอนของโพธิจิตสัมพัทธ์ ทุกโปรเจ็คที่เราทำล้วนอยู่บนเส้นทางแห่งโพธิจิต และล้วนเป็นเส้นทางสู่การเปิดสัมปชัญญะเพื่อให้พื้นที่ของใจได้ทำงานด้วยเช่นกัน   

pravin12

ตื่นที่ใจเราเอง

ก้าวเล็กๆ ทุกก้าวที่เกิดการตื่นรู้นั้นหมายถึงความกระจ่างชัดได้เกิดขึ้นแล้ว ก้าวเล็กที่ถี่และมากพอจะส่งผลให้เกิดก้าวใหญ่ๆ ตามมา และก้าวใหญ่ๆ นั้นจะเป็นการตื่นรู้ร่วมกันในสังคม แต่ทุกก้าวใหญ่ๆ เกิดจากก้าวเล็กๆ ที่เราต่างตื่นใจเราเองอยู่เสมอๆ

หากพูดถึงสังคม มันจะมีการกดทับทางโครงสร้างอำนาจตั้งแต่ระดับพลังงาน ส่งผลให้วัฒนธรรมการใช้ชีวิตนั้นบิดเบี้ยวกดทบกันไปจนทำให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมายตามมา ตื่นรู้ทางสังคมจึงจำเป็นมากๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลถึงความสุขมวลรวม ภาวะเศรษฐกิจที่ดี และการเมืองที่ดี

สิ่งที่อยากจะฝากถึงผู้สนใจการเดินทางด้านในและการตื่นรู้ร่วมกัน คือ เราไม่จำเป็นต้องรอให้เราพร้อม เราสามารถทำได้เลย ที่นี่เดี๋ยวนี้ เริ่มจากรู้สึกตัวว่าเรากำลังทำอะไร ทำกับใคร ทำที่ไหน ทำอย่างไร ความรู้ตัวนี้แหละครับจะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่กุศลต่างๆ และละอกุศลต่างๆ ลงได้ จากนั้นใจจะเปิดออก จิตใจที่มีความรักและไมตรีจะช่วยเกื้อกูลกันและกัน

ทำต่อไปครับ ถ้ามุมมองเราชัด ทิศทางเราตรง กำลังใจจะไม่ตกเลย ยิ่งทำยิ่งมีกำลัง และการแปรเปลี่ยนก็จะเกิดขึ้นมา เริ่มที่เราก้าวสู่ทางแห่งการตื่นรู้และปรารถนาให้สรรพสิ่งนั้นตื่นรู้ไปด้วยกัน
ปลอดโปร่ง ศานติสุข สวัสดี ดั่งมณีที่มีในดอกบัว “โอม มณี ปัทเม ฮุม”