“ในอดีตนานมาเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาคุยกันแบบนี้ มนุษย์ทุกคนอาจมีความตื่นรู้เป็นปรกติและไม่เบียดเบียน แต่ในโลกวันนี้ชัดเจนว่า เรื่องนี้กลายเป็นเส้นทางที่ไม่ใช่ถนนหลักของคนในโลกปัจจุบัน และก็เห็นผลได้ว่า ความหลงก่อเกิดการเบียดเบียนต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อธรรมชาติรอบๆ ตัวของมนุษย์ จนมีผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงได้”

พงศธร ละเอียดอ่อน ทำงานด้าน Industrial design และ product development เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้านการออกแบบตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปัจจุบัน ให้คำปรึกษาภาคธุรกิจด้านการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ที่มีคุณค่าสู่ตลาด ร่วมจัดหลักสูตรการพัฒนาแนวคิดด้านการออกแบบ ความคิดสร้างสรรค์การพัฒนาสินค้าและบริการใหม่กับภาครัฐและเอกชน ทั้งยังร่วมงานกับมหาวิทยาลัยด้านการออกแบบ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนด้านการออกแบบในประเทศ

อิสรภาพแห่งการรับรู้ที่ลึก กว้าง
ณ เมื่อเราตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของการรับรู้ จนก่อเกิดอารมณ์ และเกิดเป็นความทุกข์ทรมาน ไม่ว่าจะทางช่องทางไหน ทางกาย ทางวิญญาณ ทางจิต หรืออื่นใด ย่อมทำให้ความหลงไปในการรับรู้เกิดขึ้น และก่อเกิดการขับเคลื่อนการกระทำโดยขาดการพิจารณาสภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่ ที่เชื่อมโยง ที่เกิดขึ้น ที่ดับไป หลงกระทำการโดยยึดถือการรับรู้ว่าเป็นความจริงที่กำลังเกิดขึ้น หลงไปตัดสินใจปักใจเชื่อโดยไม่พิจารณาให้เห็นความเป็นไปที่เชื่อมโยง ที่เป็นเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ที่กว้างใหญ่ ที่ลึก ที่ยังมองไม่เห็น ทำให้เห็นความจริงเพียงจากโลกการรับรู้ส่วนตัวของเรา หรือจากโลกของบางคนที่เราเชื่อถือ ว่านั่นคือความจริงทั้งหมดแล้วจริงๆ เกิดการขัดแย้งในความคิด หงุดหงิด โต้แย้งกับผู้อื่น เกิดความหวาดกลัว และสารพัดอารมณ์ที่จะนำเราสู่ความทุกข์ จนก่อเกิดการกระทำทางกาย วาจา ที่ส่งผลตอบสนองต่อความอยากจะดิ้นรนเพื่อไปให้พ้นจากสภาวะดังกล่าว และหากไม่สามารถกระทำการเพื่อผลที่อยากขับเคลื่อน หรือไม่สามารถดับอารมณ์ได้ ก็จะสร้างความความตึงเครียดให้กับทั้งตนเองและผู้อื่น

หากเรามิใด้ตกอยู่ใต้อิทธิพลการรับรู้ใดๆ เห็นในความจริงที่แท้จริงที่กำลังดำเนินไป หรือในที่นี้คือคำว่า “ตื่นรู้” การกระทำจะเป็นไปด้วยการมองเห็นเหตุปัจจัยทั้งหมด พิจารณาและมองออกว่าอะไรคือเหตุที่สำคัญ เหตุที่แท้ และกำหนดการกระทำเพื่อผลแห่งเหตุ ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ที่จะก่อให้เกิดคุณค่าต่อตนเองและผู้อื่น ย่อมกระทำให้เกิดผลลัพธ์ได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพและคุณภาพ
เมื่อคนส่วนมากในสังคมกระทำการต่างๆ ด้วยสภาวะเช่นนี้ ผลรวมของสิ่งที่ร่วมสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นในสังคมก็จะเกื้อหนุนให้ ชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อมโดยรวมอยู่ในสภาพที่เหมาะสมแก่การดำรงชีวิตให้สมดุลต่อทุกชีวิต
หากเราฝึกฝนแยกแยะสภาวะรับรู้ที่มาจากประสาทสัมผัสทางกาย ความคิด อารมณ์ จินตนาการ พลังงานโดยรอบ และจากผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกับเราได้อย่างชัดเจน เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไป และมีสิ่งใดเข้ามากระทบชีวิตหรือโลกส่วนตัวของเราผ่านการรับรู้ เราจะแยกแยะได้ถึงความเป็นไปของเหตุการณ์นั้นๆ ว่ามาจากการรับรู้ใดบ้าง การแยกแยะที่ชัดเจนนี้จะช่วยให้การรับรู้นั้นๆ ไม่ผ่านเข้าไปกระทบต่ออารมณ์หรือความคิด จนก่อให้เกิดการกระเพื่อมทางอารมณ์ ตลอดจนความรู้สึกทางใจและกายที่เรียกว่า สุขหรือทุกข์
เมื่อเราเห็นเหตุของการเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน อารมณ์ของเราจะไม่ถูกกระตุ้นโดยผลของมัน เพราะการมีเหตุมีผลที่เห็นจริงและเข้าใจได้ดังนั้น ณ สภาวะนั้น เราจะเห็นความเป็นจริงที่แท้จริง จะจัดการเหตุการณ์ที่เข้ามาได้ตามความเป็นไป หรือตามเหตุที่ต้องเป็น และไม่ได้เป็น เราจะสื่อสาร ชี้แจง แนะนำต่อคนที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์นั้นได้อย่างตรงไปตรงมา ตามสิ่งที่ควรจะต้องสื่อสารอย่างไม่มีการกระทบกระทั่ง และยอมรับทั้งในความคิดเห็นที่สอดคล้องและแตกต่างเพื่อก่อผลไปในทางที่เหมาะสม

สมดุลของผู้สร้างและผู้ทำลาย: ความอิ่มเอมที่แผ่ซ่านไปทั่ว
สำหรับผมคำว่า”ตื่นรู้”คือศัพท์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในโลกของผมไม่ถึงห้าปีที่ผ่าน เป็นคำภาษาใช้เรียกสภาวะที่เรามีประสบการณ์รับรู้ว่า เราคือสภาวะ ที่เป็น / อยู่ / ตามความเป็นไปของสภาวะขณะนั้นๆ ที่กระทบต่อเรา ในสัมผัสรับรู้ด้านต่างๆ ของเรา แยกแยะได้ มองเห็นความเป็นไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ที่คงอยู่ และที่หายไป จากการรับรู้ และไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของการรับรู้เหล่านั้น
การตื่นขึ้นของสภาวะที่ทำให้เรารู้ว่า ทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นไม่ว่าจะเป็นตอนเราหลับหรือตื่น คือโลกแห่งการรับรู้ จะนำพาเราไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของการรับรู้นั้น และนั่นย่อมให้อิสระแก่เราในการเป็นอยู่อย่างสงบ ปิติ เบิกบาน เห็นความเชื่อมโยงทั้งในภาพของมิติที่ใหญ่และย่อยเล็กของการเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ การเป็นไป และการสลายไป อย่างที่เป็นจริง เห็นได้จริง เราจะมีปฎิสัมพันธ์กับสิ่งที่เข้ามาในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเกิดเหตุเข้ามากระทบไม่ว่าจะต่อกาย ต่อจิตใจ เราจะไม่ได้รับผลจากการกระทบ เราจะรับรู้การเกิดขึ้นและความเป็นไปเท่าที่เป็น ในแบบที่เป็น ตามที่เป็น และหายไปตามที่หายไป เราจะมีความรู้สึกที่ดีต่อทุกการกระทำที่เกิดขึ้น ต่อทุกขณะที่ทุกอย่างดำเนินไป เมื่อมีความพึงพอใจในตนเองอย่างเต็มที่แล้ว จะเห็นเหตุก่อให้เกิดเป้าหมายสร้างสรรค์ผลลัพธ์ที่มีคุณค่าต่อตนเองและผู้อื่นขึ้นตามลำดับ สามารถสร้างสรรค์ผลลัพธ์ตามเป้าหมายให้เกิดขึ้นได้จริงตามเจตนาที่ตั้งไว้ และดึงดูดให้ผู้อื่นเห็นจริงตามได้
สภาวะการตื่นรู้จึงมีคุณค่าต่อบุคคล สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นอันมาก เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกแทบจะเพียงชนิดเดียวที่มีความสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่แตกต่างในชั่วหนึ่งชีวิต ให้เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในบรรพบุรุษ ทั้งยังสามารถทำลายล้าง เพื่อให้เกิดการสร้างใหม่ขึ้น หรือเพื่อช่วยเหลือ เพิ่มคุณค่าให้ชีวิตอื่น เพื่อให้เกิดความสมดุลต่อการคงอยู่ได้ โดยพื้นฐานเดิมแท้ของธรรมชาติมนุษย์ทุกคนในฐานะสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศน์แห่งชีวิตในธรรมชาติ ล้วนมีเป้าหมายที่จะปกป้องตัวเอง ปกป้องสิ่งที่ผูกพัน และเกื้อกูลต่อสิ่งมีชีวิตอื่นอื่นเพื่อให้เกิดสมดุลของการคงอยู่ของเผ่าพันธุ์
สมดุลของการกระทำทั้งสองด้านนี้จะถูกกระทำในทิศทางใด “สร้างสรรค์” หรือ “ทำลายล้าง” ขึ้นกับว่ามนุษย์ผู้นั้นหลงอยู่ในอารมณ์ หลงยึดในความจริงที่รับรู้ในโลกของตนเองแค่ไหน หรือรับรู้ความจริงแท้ในสิ่งต่างๆ เห็นเหตุที่กำลังเป็นไปในมิติที่กว้าง และก่อผลเชื่อมโยงได้แค่ไหน หากเห็นได้ว่าเหตุแห่งการคงอยู่ของตนเองคือทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยรวมทั้งที่ใกล้และไกลจนรับรู้ไม่ได้ เขาก็จะเกื้อกูลและปกป้องเหตุเหล่านั้นเช่นกันกับปกป้องตัวเอง(เพราะเห็นแล้วว่าคือสิ่งเดียวกัน) หากเห็นแค่ว่าเหตุแห่งการคงอยู่ของตนเองคือเพราะตนเอง เขาก็จะเกื้อกูลและปกป้องเพียงเพื่อตนเอง และพร้อมจะทำลายสิ่งที่มากระทบความมั่นคงของการคงอยู่ของตนเองนั้น
เมื่อเราไม่ได้ตกอยู่กับอิทธิพลของการรับรู้ หรือถูกกระตุ้นทางอารมณ์ เมื่อเราเห็นถึงความเชื่อมโยงของเหตุปัจจัยของการเกิดขึ้น คงอยู่ และเสื่อมไปของสิ่งต่างๆ อย่างแท้จริง เช่นระบบสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ไลฟ์สไตล์ ระบบเงินตรา การศึกษา เกษตรกรรม อารยธรรม ชีวิต และอีกมากมาย เมื่อนั้นสภาวะปรกติของความเป็นไปตามธรรมชาติ ความมีชีวิตชีวา สภาวะอันสงบ ปิติ อิ่มเอม ก็จะปรากฎขึ้นต่อเรา ส่งผลต่อความรู้สึกทางร่างกาย ไม่ใช่เพียงความรู้ที่เกิดขึ้นในสมอง เป็นปฎิกริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นทางกายภาพ จากการรับรู้ความเชื่อมโยงที่เป็นไปเป็นหนึ่งเดียวกับสภาวะโดยรอบ มีความรู้สึกแผ่ซ่านอิ่มเอมในกาย มีการรับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบชัดเจน และเห็นถึงที่มา ความรู้สึกนั้นกลายเป็นความพึงพอใจในชีวิตที่ปิติ อิ่มเอม เป็นพื้นฐานที่เป็นธรรมชาติของชีวิต เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในโลกนี้

เส้นทาง 3 สายสู่การตื่น
เมื่อพิจารณาสิ่งที่ผ่านมา เหตุการณ์ การกระทำ ผู้คน พ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อน ศัตรู และคนอื่นๆ ล้วนมีบทบาทในเส้นทางชีวิตเราทั้งหมด ในการเรียนรู้ เข้าใจ และคลี่คลายสู่สภาวะที่เปลี่ยนไปของโลกแห่งการรับรู้ เส้นทางของการเปลี่ยนแปลงสภาวะการรับรู้ทั้งหมดทั้งร่างกาย ทั้งวิญญาณ(ใจ) ทั้งจิต เมื่อลองพิจารณาผมเห็นว่าเส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลงของสภาวะการรับรู้แบ่งเป็นสามส่วนหลักๆ ที่สำคัญ(สามารถดำเนินไปได้พร้อมกัน) คือ
1) เส้นทางการเข้าใจกลไกที่เกิดขึ้นในตนเอง(มีสติรู้) เข้าใจเหตุที่มาของความคิด ของอารมณ์ ของความรู้สึกต่างๆ เห็นผลอันเกิดจากเหตุที่สัมพันธ์กัน ฝึกที่จะปล่อยวางเหตุและเห็นผลที่อารมณ์ดับลง ความคิดต่างๆ ดับลง สามารถกลับไปคลี่คลายต้นเหตุต่างๆ ของสิ่งที่ค้างคาในใจตนเอง ซึ่งก็คือเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาในชีวิตแล้วเราติดค้าง ติดอยู่ในจิตในใจ ความแค้นเคือง ความกลัว หรือความกังวล เมื่อสามารถทำให้เหตุที่ค้างคาเหล่านั้นสมบูรณ์หมดไป อารมณ์ความคิดที่เคยถูกกระตุ้นจากเหตุเหล่านั้นก็สังเกตได้ว่าดับลงด้วย ด้วยการฝึกฝนในด้านนี้ เราจะสามารถสลายอารมณ์ที่เกิดเมื่อมีสิ่งมากระทบได้ถาวร เมื่อสามารถขจัดเหตุที่ค้างคาใจไปได้ระดับใหญ่ๆ ของชีวิต ก็ปรากฏเกิดพื้นที่สงบทางความคิด ใจและจิตมากขึ้นเป็นลำดับ
เส้นทางนี้เมื่อปฎิบัติไปจะเกิดสภาวะที่สงบนิ่งเมื่อเวลาไม่มีอะไรมากระทบ โปร่งโล่งสบาย ไม่มีความคิดลอยๆ ที่ทำให้ทุกข์เศร้า อึดอัด และเมื่อมีสิ่งมากระทบจุดที่ยังติดค้าง ที่ยังเคลียร์ไม่ได้ก็จะเกิดอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมา ต้องกดข่ม ต้องปล่อยวางอยู่เนืองๆ เมื่อมีเหตุมากระทบ ต้องเฝ้าดูจนความรู้สึกเหล่านั้นหายไป จะเป็นเช่นนี้จนกว่าจะคลี่คลายเหตุการณ์ต้นกำเนิดที่ฝังในจิตอันเป็นแหล่งกำเนิดความคิดและอารมณ์เหล่านั้นได้สมบูรณ์ สภาวะบนเส้นทางนี้จะดำเนินแบบนี้เรื่อยไป สุขบ้างทุกข์บ้าง สงบบ้างบนเส้นทางนี้ ตามแต่การวางตัววางใจไว้ให้ห่างไกลจากสิ่งที่มากระทบที่ยังติดค้าง เพราะจะมีเหตุการณ์มากมายที่ติดค้างอยู่ในตัวเราทั้งกาย ใจ และจิตเดิมที่เรานึกไม่ออก จำไม่ได้(ในความจำของสมองที่เราเข้าถึงได้) ว่าทำไมเราถึงอึดอัด เศร้าหรือโมโห กับสิ่งที่มากระทบแบบนี้ ทำได้คือจับให้ทันและปล่อยวางให้หายไปโดยเร็ว

2) เส้นทางการฝึกฝนพลังที่ไหลเวียนภายในกาย ด้วยการปรับสภาพการใช้ชีวิต อาหารการกิน การอยู่ การนอนหลับพักผ่อน การออกกำลังกาย เพื่อกระตุ้นระบบโครงสร้างของพลังงาน(พลังชีวิต) ภายในร่างกาย สร้างภาวะสมดุลของพลังชีวิตและการขับสารพิษในร่างกาย ให้มีการไหลเวียนของพลังงานและแร่ธาตุอย่างสมดุล ร่างกายเรานี้เป็นพื้นที่อาศัยขนาดมหึมา เป็นโลกทั้งใบของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก(โลกของจุลินทรีย์) และสื่อสารเชื่อมโยงกับระบบประสาทการรับรู้ของร่างกาย หากเกิดความไม่สมดุลของพลังงานและสภาวะภายในร่างกาย เหล่าชีวิตเล็กๆ ก็จะเกิดความผิดปรกติและจะทำให้ฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายผิดปรกติ มีผลทั้งร่างกายเกิดโรคต่างๆ ความดัน เบาหวาน ไขมันผิดปรกติ ระดับฮอร์โมนที่ควบคุมความสุขเปลี่ยนไป เกิดความเครียด โกรธ ซึมเศร้า และหลากหลายความแปรปรวนที่เกิดขึ้นทางอารมณ์และร่างกาย ความสมดุลมีสุขภาวะที่ดีจะทำให้ร่างกายและใจเรานิ่งขึ้น มีความสุขมากขึ้น
เมื่อมีการรบกวนทางอารมณ์น้อย สภาวะการรับรู้ภายในจะนิ่งขึ้นและชัดขึ้น สามารถที่จะฝึกการรับรู้ของระบบการรับรู้ของร่างกาย ใจ(วิญญาณ)และจิต ที่มีอยู่อีกหลายอย่างให้แข็งแรงชัดเจนขึ้น สิ่งมีชีวิตรวมถึงมนุษย์มีระบบการรับรู้ทางธรรมชาติเพื่อการเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการดำเนินชีวิต ไม่ใช่แค่เพียง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เรารับรู้การเคลื่อนที่ รับรู้ความร้อนหนาว(ไม่ใช่อุณหภูมิสูงต่ำที่รับรู้จากผิวหนัง) รับรู้ภาพจากข้อมูลที่บันทึกไว้ในตัวเรา(จินตนาการ) รับรู้เสียงที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เสียงบันทึกไว้ และที่ประมวลวิเคราะห์สิ่งที่บันทึกไว้(เสียงที่เราได้ยินในหัว) รับรู้การเปลี่ยนแปลงของแรงโน้มถ่วง(เช่นเวลาตกจากที่สูง) รับรู้การเอียงของร่างกาย(เพื่อการรักษาสมดุล) รับรู้ความรู้สึกผู้อื่นๆ รับรู้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารอบตัวที่เปลี่ยนแปลง และอื่นๆ ซึ่งเป็นการรับรู้ของสิ่งมีชีวิตที่ดำรงเป็นปรกติในธรรมชาติเดิมของโลก การรับรู้หลายๆ ส่วน(ส่วนมากที่เรามี) ไม่เคยถูกใช้ ถูกสนใจ หรือถูกฝึกฝนให้เข้มแข็ง ให้ชัดเจน ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ มนุษย์ในสังคมเมืองยุคปัจจุบันสนใจการรับรู้เพียงตา หู จมูก ปาก สัมผัสผิวหนัง และเพ่งสนใจเพียงข้อมูลที่มาจากการรับรู้เหล่านี้จนเคยชิน
เราอาจจะไม่คุ้นกับภาษาและความหมายที่จะใช้แยกแยะการรับรู้ที่ไม่เคยชินเหล่านี้ ไม่เคยเรียนรู้ ไม่เคยฝึกฝนที่จะเข้าใจ เพราะในสังคมมนุษย์ปัจจุบันชี้นำให้การรับรู้ทางธรรมชาติหลายอย่างเป็นสิ่งที่ “ไม่จำเป็น” เพราะเราไม่ได้ใช้ชีวิตในธรรมชาติอย่างแต่ก่อน เราถูกห้อมล้อมด้วยสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งการมีปฏิสัมพันธ์นั้นใช้เพียง ตา หู จมูก ปาก กาย แต่ธรรมชาติไม่เคยออกแบบอะไรมาโดยไม่มีประโยชน์ การรับรู้สิ่งที่เป็นไปในธรรมชาติที่ไม่ใช่รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อันมีมวลของสสารกำกับ การรับรู้ด้วยการสื่อสารผ่านช่องทางความถี่ของคลื่นสั่นสะเทือนในสิ่งแวดล้อม (คลื่นความถี่เสียงที่เกินหูได้ยิน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นแสงที่ตามองไม่เห็น ฯลฯ) มีผลกับการสั่งงานของอารมณ์ ความคิด และการกำกับความรู้สึกต่างๆ ในตัวเรา ถ้าเราตั้งใจฝึกการรับรู้เหล่านี้เป็นระยะเวลาหนึ่ง การรับรู้เหล่านี้ก็จะฟื้นตัวและกลับมามีประสิทธิภาพได้ เป็นการสัมผัสรับรู้ต่อสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันได้คมชัดขึ้น
กระบวนการการปรับสมดุลของร่างกายและการฝึกฝนการรับรู้นี้ใช้เวลา และต้องปรับตารางการใช้ชีวิตทั้ง 24 ชม.ตลอด 7 วัน การกินอาหารที่มีพลังชีวิตที่ดี ไม่รับสารพิษ สารเคมีเข้าไปในรางกายที่จะทำให้ประสาทการรับรู้ที่ละเอียดเหล่านี้ด้อยลง ดูแลโลกของจุลินทรีย์ภายในร่างกายเราให้ดี ให้สมดุลอย่างสมบูรณ์ ด้วยการทานพืชในธรรมชาติให้หลากหลาย(มากกว่า 30 ชนิดต่อสัปดาห์) รับจุลินทรีย์เข้าสู่ร่างกายในรูปแบบต่างๆ เช่น หายใจในพื้นที่ป่าธรรมชาติ เดินเท้าเปล่าบนดิน ทานอาหารหมักดอง ทานพืชที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีในดินและมีระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์

หมั่นกำจัดของเสียสารเคมีที่สะสมในร่างกาย ดื่มน้ำที่เป็นธรรมชาติให้เพียงพอ ออกกำลังกายกลางแจ้งรับคลื่นพลังงานจากดวงอาทิตย์เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนทั้งร่างกาย อยู่ในธรรมชาติที่ๆ มีคลื่นพลังงานตามธรรมชาติที่แข็งแรง ตากแดด อยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่ ติดดิน ติดแหล่งน้ำไหลในธรรมชาติ จัดบ้านให้มีการไหลเวียนของอากาศ แสง สนามแม่เหล็กโลกในธรรมชาติได้สะดวก และจัดการทำงานและกิจกรรมในชีวิตที่ต้องปรับให้สอดคล้องเหมาะสมกับการใช้ชีวิตตามการเป็นไปของธรรมชาติที่เราอาศัยอยู่ทั้งหมด(ทั้งการกินและการนอน) ตามจังหวะของกลางวันและกลางคืน และฤดูกาลของปี พักผ่อนให้เพียงพอในเวลาที่เหมาะสมในการซ่อมแซมและขจัดของเสียในร่างกาย กระตุ้นระบบการทำงานของร่างกาย กระตุ้นการรับรู้ทุกส่วนทุกวันผ่านกิจกรรมประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายที่ทำซ้ำต่อเนื่องและต้องรับรู้มากกว่าประสาทสัมผัสตา หู จมูก ปาก ผิวหนัง ฝึกการรับรู้ความรู้สึกทางใจให้สัมพันธ์กับการสั่งร่างกาย เช่น การเล่นดนตรี การพูดกับผู้อื่น โดยรับรู้โลกของผู้ฟังไปด้วย การทำงานที่ต้องใช้มือและร่างกาย ฝึกสมาธิ มีสติและกระตุ้นประสาทการรับรู้ที่ละเอียด
เหล่านี้เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายตื่น รับรู้และแข็งแรงขึ้น มีประสาทรับรู้สมบูรณ์ขึ้นในทุกๆ ส่วน มีพลังชีวิตที่สมบูรณ์แข็งแรง ฝึกที่จะเป็นนายของการรับรู้คือสามารถที่รับรู้ และรู้สึกตัว เคลื่อนไปด้วยก็ได้ รับรู้เฉยๆก็ได้ ไม่รับรู้(ปิดหรือเปลี่ยนช่องการรับรู้)ก็ได้ เพื่อควบคุมใช้งานการรับรู้ต่างๆ ในตัวเองแทนที่จะหลงเข้าไปและติดอยู่ในนั้น

3) เส้นทางการเรียนรู้เพื่อที่เข้าใจสภาวะต่างๆ ที่รับรู้ ในมิติด้านต่างๆ เห็นและเข้าใจความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นและที่เป็นไป ที่ผ่านเข้ามา ที่อยู่โดยรอบ ที่เชื่อมโยงไกลออกไป ฝึกความสมดุลของการรับรู้ระหว่างทางกายภาพและทางที่ไม่มีกายภาพ เห็นความเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ ทดลองกระทำตามที่รับรู้เหตุปัจจัยอย่างมีศรัทธา แล้วสังเกตผลที่เกิดขึ้น ทั้งภายในตัวเอง และผู้อื่น พิจารณาภาพเสียงและความรู้สึกภายในต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นในการรับรู้ขณะมีสมาธิ ทำความเข้าใจสิ่งที่ปรากฏขึ้นในมิติการรับรู้ต่างๆ เข้าใจความหมาย ความเชื่อมโยงและที่มา นำมาสู่การกระทำทาง กาย วาจา ใจ เพื่อเรียนรู้ เพื่อที่จะนำมาใช้ประโยชน์จากการรับรู้ต่อตนเองและผู้อื่น เกิดความปรารถนาในการกระทำและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่มีคุณค่าต่อตนเองและผู้อื่นตามที่เห็นจริง

เส้นทางทั้งสามนี้ไม่มีกำหนด ไม่มีเป้าหมาย ไม่สามารถที่จะคิดวางแผนการพัฒนาและสิ้นสุด เพียงทำตามกระบวนการที่ หนึ่ง สอง และสามไปเรื่อยๆ อย่างมีศรัทธาต่อตัวเองและธรรมชาติรอบตัว สังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองและผู้อื่น รับรู้และทดลองใช้ประโยชน์กับสิ่งต่างๆ ที่ต้องทำอยู่แล้วในชีวิตให้ได้ผลที่แตกต่างในคุณค่าต่อตนเองและผู้อื่น ต่อสิ่งแวดล้อมในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สิ่งสำคัญที่ต้องมีคือ ผู้ชี้นำแนวทาง กัลยาณมิตร คู่คิด คู่ชีวิต ที่จะร่วมแบ่งปัน สะท้อน รับฟังสิ่งที่เกิดขึ้น ที่เปลี่ยนแปลง มีความรักในตนเองและผู้อื่นจากส่วนที่ลึกที่สุดของใจ นั่นคือจิต
ในเส้นทางนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในตนเองเรื่อยๆ ค่อยๆ สังเกตเห็น สะท้อน เล่าเรื่องให้ผู้อื่นเห็น รับฟังผู้อื่น เปรียบเทียบจากบันทึกผู้อื่น ตั้งข้อสังเกต คำถาม และศึกษาอยู่เสมอๆ ถึงอารมณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งหนึ่งมากระทบว่า มันเกิดเหมือนอยู่ห่างออกไปไกลๆ เรื่อยๆ จนเหมือนไม่ปรากฎ เกิดการรับรู้สภาวะรอบๆ ตัวเปลี่ยนไป มีความปิติอิ่มเอมในสภาวะรอบตัว เป็นสุขตลอดเวลาในความสงบที่รับรู้ความเป็นไป รับรู้สภาวะสุขทุกข์ของผู้คนโดยรอบชัดเจน มองเห็นเหตุความเชื่อมโยงที่กว้าง ที่ใหญ่ ที่ลึกขึ้น เริ่มเห็นได้ว่าปิติของเราและทุกข์ของผู้อื่นนั้นก็เหมือนๆ กัน เป็นสภาวะการรับรู้ เป็นผลกระทบของสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น กับการรับรู้ได้เท่านั้น เห็นชัดเจนจนรับรู้ว่าการเป็นอยู่คือสภาวะการรับรู้ นั้นคือทั้งหมดเป็นเพียงการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงเท่านั้น และเห็นได้ว่าทุกสิ่งปรากฏขึ้นในมิติของการรับรู้เท่านั้น นอกไปจากการรับรู้นั้นคือความเป็นที่ไม่มีสภาวะ ไม่มีการรับรู้ คือพื้นที่ของความไม่มีการรับรู้ใดๆ และเป็นพื้นที่ของปรากฏการ ก่อเกิดสภาวะการรับรู้ขึ้นและสลายหายไป คือธรรมชาติเดิมแท้ของทุกสิ่ง
รายละเอียดบนเส้นทางที่เกิดขึ้นมีมากมายคงพอได้รับทราบจากครูบาอาจารย์ และหลายต่อหลายท่านในโลกนี้ที่แบ่งปันสอนและแนะนำผู้คน เหล่านั้นคือสภาวะที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้น สามารถสังเกตเห็นได้และเรียนรู้ที่จะอยู่กับสภาวะที่ปรากฎขึ้นในแต่ละลำดับได้ นำมาใช้ประโยชน์ให้เกิดคุณค่าต่อตนเองและผู้อื่นได้
ทั้ง 3 เส้นทางจะประสานเชื่อมโยงส่งผลเกื้อหนุนกันอย่างสมดุล ไม่หนักด้านใด ไม่เบาด้านใด การเดินไปบนเส้นทางคือเดินไป “อย่างไม่หย่อนและไม่อยาก” และเชื่อมทั้งชีวิตเข้ากับเส้นทางทั้งในยามตื่นและในยามหลับ

ปรัชญาแห่งการรับรู้
....เมื่อไม่มีการรับรู้ สิ่งที่ถูกรู้ย่อมไม่มีอยู่...
คำว่าข้อค้นพบยิ่งใหญ่ดูจะเป็นการเปรียบเทียบของตัวตน ผมขอใช้คำว่าผม “ปิติยินดีที่ได้พบเจอ” แทนนะครับ สิ่งหนึ่งในนั้นก็คือการได้พบว่า การรับรู้คือทั้งหมดของการเกิดขึ้นในโลกของเรา ที่เรามีประสบการณ์ ผมพบว่าเมื่อเรารับรู้ โลกก็ปรากฎขึ้น ขณะที่ไม่มีการรับรู้ ก็ไม่มีการเกิดขึ้นของสิ่งใดในโลกของเราทั้งสิ้น และพื้นที่ ที่ก่อเกิดการรับรู้ คือพื้นที่ ที่เป็นสภาวะที่มีอยู่ของการไม่มีสิ่งใด (nothing)
และขณะที่เกิดการรับรู้ก็จะเกิดสิ่งที่ถูกรับรู้ขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อไม่มีการรับรู้ สิ่งที่จะถูกรับรู้ก็จะไม่เกิดขึ้นมาในโลกการรับรู้ใดๆ ทั้งสองเป็นสองสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันและสัมพันธ์กัน
เมื่อเข้าใจจึงสามารถนำมาใช้ได้กับหลายสิ่งหลายมุมของทั้งการใช้ชีวิต และงานที่ทำ
ก้าวทุกก้าวบนทางสายนี้ล้วนเป็นกัลยาณมิตร ทุกก้าวที่ตื่นรู้ล้วนเป็นสัมมาทิฏฐิ ค่าเท่ากันหมด ไม่มีเล็กมีใหญ่ ขอให้เรียนรู้และก้าวเดินขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางที่สงบและสันติสุขร่วมกัน

พื้นที่ใหม่ๆ หลังการตื่นรู้
อยู่ในความปิติสงบ ไม่มีการรบกวนจากอารมณ์และความคิด เมื่อมีสิ่งมากระทบก็มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น และสามารถออกแบบการตอบสนองเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดปัญญาในการสร้างสรรค์งานต่างๆ จากพื้นที่ใหม่ๆ ในการรับรู้ นำมาใช้จนเกิดผลต่อตนเองและผู้อื่น แบ่งปันให้คนอยู่ใกล้ได้ดำเนินตามเส้นทางสู่จุดหมายเดียวกัน ดำเนินชีวิตร่วมกัน และไปด้วยกันอยู่อย่างมีความเปี่ยมปิติทุกวันที่โลกหมุนไป
หลุมพรางแห่งตัวตน ยึด อยาก หลง
หลุมพรางที่สำคัญจะมาจากตัวตน (ร่างกาย วิญญาณ และจิต) ของเราเป็นหลัก ได้แก่
“ความยึด” กับความจริงที่ยึดมั่นอยู่เดิม ไม่ปล่อย ไม่มองเห็นมุมอื่นเพื่อเปิดเส้นทางใหม่ๆ แนวทางการที่จะไม่ติดกับความยึดคือ ฝึกเข้าใจโลกของผู้อื่น ฝึก empathy (ความเห็นโลกของผู้อื่น รับรู้จิตใจผู้อื่นเสมือนเห็นจิตใจของตนเอง) สัมผัสรู้ความเป็นไปในโลกของคนอื่น สัตว์ พืช สิ่งต่างๆ ของธรรมชาติ และมนุษย์อย่างเข้าใจความจริงใหม่ ในแบบที่สิ่งนั้นเป็น อยู่ในโลกของผู้อื่น ของสิ่งอื่นให้มากกว่าอยู่ในโลกของตัวตนของตัวเอง
“ความอยาก” หมายถึงความอยากในทุกอย่างรวมถึงอยากที่จะตื่นรู้ อยากที่จะรู้ อยากจะมีสภาวะตามที่เค้าว่ากัน ฯลฯ แนวทางการที่จะไม่ติดกับความอยากคือ พอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ พอใจในปัจจุบัน พอใจในอดีตที่ผ่านมา พอใจในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น มองให้เห็นภาพว่า อะไรที่เกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอ (คำสอนนี้ได้รับจากหลวงปู่ทองพูล สิริกาโม) อะไรที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ดีเสมอ เพียงเรายังมองไม่ออก ก็ขอให้เชื่อใจและวางใจในชีวิตที่เป็นมาและเป็นไป ฝึกฝนดำเนินไปตามสิ่งที่รู้ ตั้งข้อสังเกต ตั้งคำถามในใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวเอง เพื่อสังเกตให้มองเห็นคำตอบที่ผ่านเข้ามา
ตั้งคำถามว่าอะไรเกิดขึ้นเพราะอะไร ตระหนักรู้ความจริงว่า “อะไรที่เราสังเกตเห็นได้สิ่งนั้นย่อมไม่ใช่เรา” และ “อะไรที่จริงแท้ย่อมต้องจริงทุกกรณีเสมอ” สังเกตให้เห็นว่าไม่มีความจริงใดของตัวตนที่สร้างขึ้นให้ปรากฏขึ้นโดยที่ไม่มีเงื่อนไข(นั่นย่อมไม่ใช่ความจริงแท้) “ความไม่อยากรู้ ไม่อยากตื่นรู้” คือ สภาวะสำคัญที่ทำให้เราไม่ติดหลุมพราง วางใจว่าเมื่อเวลาเหมาะสมมาถึงให้เชื่อมั่นศรัทธาในสิ่งที่ปรากฏกับตนเอง กล้าที่จะเดินหน้าไปในที่ๆ ไม่รู้ กับคนที่ไม่รู้ โดยไม่คาดหวังว่าเราจะได้อะไร และทำเพื่ออะไร ไหลเชื่อมโยงเข้ากับจังหวะที่ชีวิตนำพามาสู่ ดีใจที่พบเขา ที่ปรากฏขึ้นในจังหวะที่เหมาะสม ดีใจที่เรารับรู้ได้ว่านี่คือสิ่งที่เป็นไปตามจังหวะชีวิต
“ความหลง” ในความรู้ใหม่ๆ ที่รับรู้ ที่เปลี่ยนแปลงไป และหยุดที่จะเดินทางต่อ หยุดสังเกตต่อ หยุดปฏิบัติต่อ ไม่เห็นความเชื่อมโยงที่เป็นภาพที่ใหญ่กว่าตรงนั้น หลงไปในความรู้ที่กลายสภาพเป็นสมบัติที่ตัวตนยกย่องเชิดชูและกอดไว้ แนวทางการที่จะไม่ติดกับความหลงคือ มองตัวเองและทุกคน ทุกอย่างคือธรรมชาติ คือธรรมดา ไม่ได้มีความหมายอะไร กายคือส่วนหนึ่งของโลกและสรรพสิ่ง จิตใจเช่นกัน ที่ปรากฏทั้งหมดคือผลของการรับรู้ เมื่ออะไรที่ไม่จริงเสมอแม้มีเพียงจุดเล็กๆ ที่เป็นเงื่อนไขให้ไม่จริง สิ่งนั้นย่อมไม่จริงแท้ ไม่ควรจะไปยึดไว้ มองให้เห็นเหตุของการปรากฏขึ้นแล้วปล่อยไป

เส้นทางอันงดงาม: เรียนรู้จากการรับรู้
เรื่องนี้มีรายละเอียดแยกแตกแขนงมากมาย คุยได้ไม่รู้จบ อยู่คู่มนุษย์กับธรรมชาติและความมีชีวิตของคน สัตว์ และสรรพสิ่งต่างๆ มาตลอด ตราบนานเท่านานและต่อไปอีกนานเท่านาน (ตามเวลาของการรับรู้ของมนุษย์)
เรื่องราวเหล่านี้เข้าใจได้ไม่ยาก เพียงปล่อยวางความเข้าใจเดิมที่ยึดติด เปิดใจ ฝึกตนตามแนวทางที่มีอยู่ในโลกนี้จากหลายแหล่ง หลายศาสดา หลายคุรุ หลายกูรู หลายตำรา ที่สำคัญคือ ต้องเข้าใจว่าการปรับสภาวะตนนั้นไม่ใช่การ “หาความรู้” แต่คือการกระทำตนทั้งกาย ใจ และจิต ตลอดยามหลับและยามตื่นทั้ง 24 ชั่วโมงใน 7 วัน วางใจว่าผลจะเกิดเมื่อถึงจังหวะที่เหมาะสม ไม่กำหนดความคาดหวัง และต้องมีความเพียรเป็นที่ตั้ง
อย่าเรียนเพื่อรู้ ควรจะรู้เพื่อเรียน อย่าอยากรู้ ควรจะรู้ความอยาก ความรู้(ชุดข้อมูล) ไม่พาเราไปไหนนอกจากวนเวียนอยู่ในหัวตัวเอง และพอกเป็นสมบัติให้ตัวตนเราพองโต หาความรู้แต่พอดีๆ จากหลากหลายแหล่ง มองภาพที่เชื่อมโยง(ไม่มีอะไรไม่เชื่อมโยงกัน) ลงมือทำไปเพื่อให้เกิดการรู้(เชิงประจักษ์) ในทุกรายละเอียด อย่ามองข้าม เรียนรู้จากการรับรู้ เก็บสิ่งที่รับรู้และทดสอบผลลัพธ์ที่นำไปใช้ได้กับตนเองและผู้อื่น แบ่งปันออกไป สร้างผลลัพธ์ออกไป สร้างคุณค่าออกไป
หาคนนำทางและเพื่อนร่วมทางที่วางใจได้จากหลากหลายแหล่ง เห็นความเหมือนและความต่างและทดลองให้มากเท่าที่ทำได้กับโลกของตัวเอง จนได้รู้และเห็นจริงเป็นประสบการณ์ที่มีผลลัพธ์จับต้องชี้วัดได้จริง บันทึกไว้เพื่อเป็นความรู้แก่ตนเองและผู้อื่นในอนาคต และทำตามเส้นทางที่ได้ผลดีแล้วต่อไปเรื่อยๆ
เพื่อพลิกฟื้นการอยู่ร่วมกันของมนุษย์และชีวิตอื่นๆ ในโลก อย่างไม่เบียดเบียนกัน อย่างเกื้อกูลกัน เพื่อตัวเองและผู้อื่นที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
