Search
Close this search box.

“เรื่องเล่าที่เคยได้ยิน แบบที่ว่าคนคนนี้ผ่านเรื่องนี้ปุ๊บแล้วชีวิตเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยนั้นไม่ใช่ฉัน

สำหรับฉันชีวิตเหมือนกระเป๋านิตติ้ง มันค่อยๆถักทอร้อยเรียง บางเรื่องแม้จะดูไม่สัมพันธ์กัน แต่มันก็หลอมรวมเข้ามาเป็นคำตอบเดียวกัน ในที่สุดเมื่อกระเป๋าถักเสร็จมันก็ใส่ของได้ ชีวิตเปลี่ยนตอนที่มันใส่ของได้แล้ว หากจะถามว่าด้ายเส้นไหนที่ทำให้เราเปลี่ยน เราคงตอบไม่ได้”

พรจิตต์ พงศ์วราภา รองประธานฝ่ายการเงิน บริษัทจีเอ็มมัลติมีเดียกรุ๊ปจำกัด(มหาชน) หรือที่หลายคนรู้จักในนามปากกาขวัญ เพียงหทัย นักเขียนผู้มีงานเขียนต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2544 เช่น ธรรมะรอบกองไฟ ช้อปปิ้งบุญ ธรรมะเอกเขนก และหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต สวนดอกไม้กับชีวิต ดั่งสายน้ำไหล ทุกสิ่งดีเสมอ และสันติสุขในดวงใจ  

ในช่วงหลังขวัญ เพียงหทัย สนใจศิลปะการจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่นแนวโคริงกะ ซึ่งเน้นการจัดดอกไม้โดยการถ่ายทอดความงามของดอกไม้ให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด และได้ออกหนังสือที่มีผลงานการจัดดอกไม้พร้อมถ้อยคำให้กำลังใจแก่ผู้อ่านมาสองเล่มคือ ขอให้ฝันดี และสุขนิรันดร์

การเดินทางภายในของขวัญเริ่มจากการฟัง การคิด และตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมะ สิ่งที่เธอสงสัยมาตลอดก็คือเราจะใช้ธรรมะกับชีวิตได้อย่างไร เราจะฝึกวางใจกับปัญหาและอุปสรรคที่เข้ามาได้อย่างไรบ้าง การเป็นน้ำแข็งในกองไฟเป็นไปได้จริงหรือ  หลายปีผ่านไปเวลาได้พาเธอมาสู่การคลี่คลายของคำถามทั้งหมด หากแต่ไม่ใช่เวลาตามเข็มนาฬิกา แต่เป็นเวลาแห่งการเติบโตของจิตใจ

วันหนึ่งเมื่อมีคนพาเข้าห้องเรียนธรรมะ วันนั้นแหละเป็นก้าวแรกที่ฉันเดินไม่หยุด”

เชือกที่ลากโยงโลงศพ

เมื่อขอให้ขวัญ เพียงหทัย ช่วยตอบคำถามเล่าประสบการณ์ตื่นรู้ เธอมองว่ามันครอบครองบรรยากาศทางความคิดเกินไปและค่อนข้างจะเป็นสถาปัตยกรรมทางความคิดอยู่สักหน่อย เลยขอพาสมองออกไปยังทุ่งกว้างริมน้ำสักครู่ ก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่อง

เช้าวันหนึ่ง ฉันยังคงนอนอยู่บนเตียง มองออกไปนอกระเบียงเห็นท้องฟ้าเป็นสีขาว ฉันถามลอยๆทำไมท้องฟ้าเป็นสีขาว ทำไมไม่เป็นสีฟ้า ทำไมไม่มีเมฆ ทำไมไม่มีนกบิน ทำไมไม่มีอะไรเลย ฉันรู้สึกอย่างไร ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย ใจฉันเป็นกระดาษสีขาวเหมือนท้องฟ้า ไม่มีอะไรเลย

ฉันเรียนธรรมะมานาน ฉันเข้าใจในส่วนที่ธรรมะเกี่ยวข้องกับผู้คน ตอนนั้นฉันเขียนหนังสือเล่าเรื่องธรรมะที่เรียนมาได้ ฉันเองฝึกได้เฉพาะเรื่องนิสัยภายนอก เช่น เรื่องโกรธง่าย แต่ลึกลงไปในใจ ตอนนั้นฉันใช้ธรรมะมากกว่านั้นไม่เป็น ฉันยังเอาใจไม่รอด ฉันไม่รู้วิธีที่จะเป็นน้ำแข็งในกองไฟอย่างที่ท่านพุทธทาสสอน  ฉันไม่รู้จังหวะจะโคนที่ธรรมะจะเข้ามาในปัญหาการงานตรงหน้า  ฉันใช้ธรรมะแยกกับชีวิตประจำวัน

จากวันนั้นฉันแสวงหาความช่วยเหลือ จากหนังสือพัฒนาจิตเล่มแล้วเล่มเล่า จนข้อความในหนังสือเริ่มซ้ำกัน ฉันเข้าอบรมในคอร์ส คำครูบอกฉัน “อดีตมันจบไปแล้ว แต่คุณยังลากโลงศพมาด้วย” ฉันนั่งนึก ฉันเห็นทหารแต่งกายพร้อมรบ มือถือปืน สะพายลูกปืนแบบในหนังสงครามเวียดนาม มีเชือกเส้นใหญ่คล้องไหล่ลากโยงกับโลงศพ  และทันใด เชือกก็ร่วงลง เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสบายกับกางเกงขาสั้นวิ่งออกไปสู่ทุ่งกว้าง

กระดาษขาวที่เงียบงัน

อุปสรรคของการตื่นรู้ คือ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร และควรจะหาทางแก้ไขอะไร”

“ฉันพบความทุกข์จากวิกฤตการงานมานาน 13 ปี ตลอดเวลาที่ขับเคี่ยว ฉันคิดว่าฉันไม่ได้กลัวปัญหาหน้างาน ฉันไม่เคยนึกท้อ แต่ฉันไม่เคยรู้ว่ามันพาฉันจมลงไปในหลุมโคลนที่ลึกและมืด และวันหนึ่งเมื่อการงานหลุดพ้นจากวิกฤต ฉันยังคงอยู่ที่เดิม  จิตใต้สำนึกฉันไม่ได้รับรู้ว่า วิกฤตได้ผ่านไปแล้ว  มันยังคงเงียบงันเป็นกระดาษสีขาวที่ว่างเปล่า”

บางครั้งความไม่รู้ก็ทำให้เราไม่รู้แม้กระทั่งว่า ความทุกข์สามารถพาเราดิ่งจมได้มากแค่ไหน และแม้ในช่วงเวลาที่ความทุกข์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ขวัญ เพียงหทัยยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานเพื่อศึกษาเรียนรู้ความทุกข์ กว่าที่เธอจะเข้าใจใบหน้าแท้จริงของทุกข์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่ 

“โชคดีที่หนังสือพัฒนาจิตที่อ่านให้ข้อแนะนำอย่างเป็นรูปธรรม ฉันฝึกฝนจนพาตัวเองออกมาอยู่ในทุ่งกว้างได้สำเร็จ วิกฤตการณ์งานใหม่ที่เข้ามา ฉันได้รับการเรียนรู้และเปลี่ยนมุมมองไปแล้ว ความเข้าใจ  ความเคยชิน  ความเชื่อว่าจะผ่านไปได้  ทำให้มันไม่ได้น่ากลัวเท่าครั้งแรก ประสบการณ์เดิมเริ่มเป็นแผนที่ให้มุมมองใหม่ ฉันได้เรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วทุกเรื่องมีทางออกของมันเอง  ในวิกฤตมีโอกาสอยู่ด้วยเสมอ”

ค้นพบเมื่อเรากล้าปล่อย

ฉันทำงานการเงิน  การติดต่อกับธนาคารเป็นเรื่องปกติ  ครั้งหนึ่งพนักงานธนาคารแรกมาขอให้เราย้ายบัญชีจากธนาคารที่สองมาที่ธนาคารแรก เขาดำเนินการให้ทุกอย่าง  แต่ผลปรากฏว่าไม่ได้รับอนุมัติ  ตอนแรกฉันตกใจ  แต่กลับกลายเป็นว่า เราสามารถคุยกับธนาคารที่สองได้เงื่อนไขที่ดีและไม่มีดอกเบี้ย  การไม่อนุมัติของธนาคารแรกจึงเป็นผลดีกับเราอย่างยิ่ง

หลายครั้งมีเรื่องมาทำนองนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าเราไม่ได้สิ่งใดมา แสดงว่ามีสิ่งที่ดีกว่ารอเราอยู่ ไม่ต้องร้อนใจ ต่อมาเวลาไม่ได้สิ่งที่ตั้งใจก็นิ่งได้

สมัยก่อนฉันเคยคิดว่าฉันขาดพนักงานคนนั้นคนนี้ไม่ได้ เขาเก่งมาก ฉันต้องพึ่งเขา หลายๆคนที่เข้าลักษณะนี้จะวีนเก่ง ทุกคนต้องอดทนให้เขาซึ่งมันเป็นความทุกข์ใจอันยาวนาน  เขาดูจะภูมิใจในตัวเองและวีนทุกคน  ฉันได้เรียนรู้ว่าเมื่อเขาออกไป ฉันจะได้พบคนใหม่ที่ดีกว่าและทุกคนรอบข้างสบายใจ

อาจารย์เคยสอนฉันว่าเราต้องเลือก  มีเค้กบนจาน เราต้องเลือก เลือกแล้วต้องรับผิดชอบ  ถ้าเราอยากได้เค้กชิ้นใหม่เราต้องหยิบออก  ทำจานให้ว่าง  ให้พื้นที่กับชิ้นใหม่ที่จะมา

หากถามว่าคุณค่าของการเข้าถึงความจริงจนเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในคืออะไร ฉันอยากตอบว่า มันคือจิตใจที่ดีขึ้น จิตใจที่สามารถกลับมาประคับประคองตัวเราให้ออกจากความรู้สึกที่มีต่อปัญหาเฉพาะหน้าได้ ก่อนหน้าที่เราจะได้เรียนรู้ เราจะไหลตามเหตุการณ์และพาจิตใจให้หมองเศร้าหรือขุ่นมัวไปด้วย ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เรามีสติที่จะเตือนตัวเองให้หยุดและกลับมองมุมบวก ยกจิตใจให้ดีขึ้นมีพลังขึ้นและก้าวต่อไปอย่างเชื่อมั่นว่าจะได้พบสิ่งที่ดี ซึ่งนั่นเป็นคุณค่าที่เราได้รับจากการเปลี่ยนแปลง

นิทานชีวิต

เป็นความจริงที่ว่า ประสบการณ์ไม่อาจส่งต่อกันได้ แม้จะเล่าได้ แต่ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจเท่ากับได้พบด้วยตนเอง เหมือนเคี้ยวพริก ถ้าไม่เคี้ยวเอง ก็ไม่มีวันเข้าใจว่าเผ็ดเป็นยังไง”

ในการรอคอยความหวังในบางเรื่องก็เคยทำให้คาดหวังว่า เราจะโชคดี

ครั้งหนึ่ง เมื่อมีการพูดคุยกับคนหนึ่งถึงการร่วมมือกันในโครงการใหญ่ ฉันหวังว่ามันจะสำเร็จ เพราะการคุยนั้นหลายครั้งมากนานร่วมเดือน มีความคืบหน้าในการคุย ดูท่าทางดีมากน่าเชื่อถือ ฉันเกิดความคิดขึ้นมาว่า กรรมนี้เหมือนเมฆก้อนใหญ่ที่ลอยอยู่บนหัว ความรู้สึกในใจหนักอึ้ง กังวล กลัวเมฆจะกลายเป็นฝนตกลงมาทำให้ลำบากเปียกปอน อยากให้เมฆลอยเลื่อนไป

ฉันไม่ได้เข้าประชุมในวันนั้น  ตกค่ำสามีกลับมาบ้านเล่าให้ฟังว่า “เขาบอกว่าความจริงเขาไม่ได้สนใจเรา เขาสนใจคนที่เรารู้จัก อยากให้เราแนะนำให้เท่านั้น”

ทันทีที่สามีเล่าจบ ฉันรู้สึกโล่ง ปลอดโปร่ง  เมฆก้อนนั้นเบาหวิว ฉันไม่กลัวมันเลย ถ้ามันอยากจะเป็นฝนก็ตกลงมาเลย เปียกไม่เป็นไร เช็ดเอาเดี๋ยวก็แห้ง หรือมันจะลอยเลื่อนไปก็ไป  คือยังไงก็ได้ตามสบาย  ความรู้สึกก็คือเราอยู่ใต้กรรมอันยิ่งใหญ่ที่เราไม่ต้องคาดหวังอะไรเองอีกแล้ว  อะไรมันจะเกิดก็เกิด ไว้วางใจ สบายใจ อยู่เฉยๆ ทุกอย่างเป็นไปเอง เราเพียงแต่ทำสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วตรงหน้าให้ดี และฉันเชื่อมั่นว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต้องดีกับเราแน่นอน

นั่นเป็นด้านการงาน ด้านชีวิตก็เหมือนกัน

มีอยู่วันหนึ่ง ฉันเดินมาตามทางเข้าบ้าน ฉันมองดูบ้าน คิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว แล้วฉันก็ถามว่า ถ้าพรุ่งนี้โลกแตกจะเป็นยังไง ไม่มีอะไรมีความหมายอีกต่อไปเลย ฉันรู้สึกถึงความไม่อาจเหนี่ยวรั้งสิ่งใดไว้ได้  เราจะคาดหวังไปทำไม  จริงๆแล้วทุกอย่างว่างเปล่าในที่สุด

อีกวันหนึ่งฉันไปบ้านเพื่อนซึ่งจัดสวนใหญ่สวยงามราวป่าน้อยๆน่ารัก มีน้ำตก มีลำธาร มีบ้านเล็กในร่มไม้ ฉันยืนดูอยู่นาน สัมผัสถึงความรักที่จะสร้างสรรค์ของเจ้าของ  น่าปลื้มใจ แต่เขาจากไปแล้ว สวรรค์ได้ถูกทิ้งไว้  คิดแบบนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรสิ อยู่เฉยๆแล้วก็ตายไปรึ ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ เป็นเพียงตระหนักถึงความว่างเปล่าของชีวิตเท่านั้น

เราต่างมีมุมมองเรื่องกรรมในพุทธศาสนาแตกต่างกันออกไป เราพูดถึงกรรม ได้ยินและได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก ขวัญ เพียงหทัยเป็นคนหนึ่งที่เรียนรู้ชีวิตผ่านบททดสอบกรรมที่มาในรูปแบบต่างๆ ผ่านการทำธุรกิจที่ต้องพบเจอผู้คนมากมาย จากไม่เข้าใจ เป็นทุกข์ เจ็บปวด คับแค้น ไปจนถึงเป็นอิสระจากพันธนาการนี้

อารมณ์เรื่องเล่าของเธอ คล้ายการเดินทางของชีวิตที่พานพบสิ่งต่างๆ คล้ายภาพทิวทัศน์ที่แล่นผ่านกระจกรถยนต์ มันฉายให้เห็นความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรจับต้องได้ มันมาและผ่านเลยไป

ไม่ว่าก่อนหน้านั้นเราจะทุกข์ กังวล เครียดกับมันเพียงใดก็ตาม วันหนึ่งเมื่อถึงเวลา มันก็จะผ่านเราไป เรายังอยู่ได้ ชีวิตมีทางไปต่อ แล้วถึงวันหนึ่ง เมื่อถึงคราวตัวเราเองบ้างที่ต้องผ่านโลกนี้ไป ทุกสิ่งบนโลกจะยังอยู่ต่อไปได้ ชีวิตยังเลื่อนไหลต่อไปได้… นี่เองคือสิ่งที่ขวัญเรียกว่าความว่างเปล่าของชีวิต

ความว่างที่จับต้องได้

ขวัญเคยรู้สึกว่าเธออาจติดยึดความคิดแบบเก่าๆของตัวเอง  ติดยึดกับตัวตนและความเชื่อของตัวเองอย่างเหนียวแน่น  บางทีอาจได้เวลาหาทางออกจากมัน แล้วเปิดใจให้กว้างขึ้นเพื่อยอมรับความแตกต่างหลากหลาย อย่างเรื่องเทพในอินเดียที่มีผู้ศรัทธามากมาย หรือในพุทธศาสนามหายานที่มีความเชื่อเรื่องพระโพธิสัตว์ ความเชื่อที่แตกต่างเหล่านี้ขัดต่อวิถีที่ขวัญเติบโตมา ซึ่งนับถือแต่เพียงพระพุทธเจ้าและสงฆ์สาวกเท่านั้น คำถามจึงเกิดขึ้น เธอจะวางใจอย่างไรต่อความเชื่อที่หลากหลายนี้

เช้าวันหนึ่งเห็นแดดสวยมากที่ระเบียงแล้วรู้สึกประทับใจ  เลยนึกออกว่า  อ.ประมวล เพ็งจันทร์ เคยเขียนไว้ในจาริกด้านในที่อินเดียว่า  อาจารย์ประทับใจแสงแดดเช้า และนึกขอบคุณพระอุษาเทวี  ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้น  เข้าใจว่าพระแม่ธรณี พระแม่โพสพ  พระแม่คงคาคือธรรมชาติที่เกื้อกูลชีวิตเรา  และเราขอบคุณท่านในรูปบุคลาธิษฐานที่เป็นองค์แทน  ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แล้วก็ค่อยพิจารณาต่อ แล้วที่เป็นองค์ๆเล่า อย่างในนิทานเช่น พระอิศวร  พระลักษมี  มีปางพิโรธด้วย ผู้คนบูชาความโกรธหรืออย่างไร ทำไมท่านจึงโกรธ 

ต่อมาได้ไปกราบเจ้าแม่กวนอิมที่สวยงามมากที่วัดโฝวกวงซันที่คู้บอน  กลับมาจึงมีความรู้สึกว่า 
เทพด้านนี้ที่เป็นองค์ๆ ท่านเป็นตัวแทนด้านความรู้สึก เมื่อจะนึกถึงเรื่องเมตตาก็เป็นเจ้าแม่กวนอิม เรื่องซื่อสัตย์ก็กวนอู เป็นกลุ่มของความรู้สึกและเป็นที่พึ่งของหมู่ชนผู้ทุกข์ร้อน ซึ่งอาจารย์ดอน (ศุภโชค ชุมสาย ณ อยุธยา)เคยบอกว่า ที่สร้างเป็นองค์ต่างๆนี้ ก็เพื่อเป็นบุคลาธิษฐาน คือเราจะได้กราบบูชา แต่ความจริงแล้วท่านเป็นความว่างทั้งหมด

ฉันจึงเกิดความรู้สึกว่าถ้าคนเราไม่ไหวจริงๆก็ไปกราบท่าน บางคนก็อ้อนวอน แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้คนเรามีที่พึ่งทางใจที่เป็นรูปธรรม ไม่เป็นไรถ้าเขาจะไปกราบพูดคุยกับท่าน ก็คงไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้ว ถือเป็นทางออกอย่างหนึ่ง 

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจทำให้ฉันรู้สึกนอบน้อมใจลงมา และเห็นอกเห็นใจคนทุกข์ร้อนที่อยากมีที่พึ่งอยากมีที่สนทนา รู้สึกไม่เป็นไร และรู้สึกว่าเวลาเราอยากนึกถึงความเมตตา หรือเมื่อต้องเมตตาใครสักคนก็อยากมองเจ้าแม่กวนอิม เพื่อเป็นที่พึ่งให้เรานึกถึงความเมตตาได้

ความรู้สึกนี้ทำให้ฉันตระหนักว่า คนเรานี้มีทุกข์จริงๆ นำไปสู่การเห็นใจซึ่งกันและกัน เราทุกคนล้วนมีกรรมของตน มันช่วยให้ฉันเข้าใจแล้วว่าธรรมะทำงานยังไงกับชีวิตปุถุชน และปุถุชนจะใช้ธรรมะพาล่องแม่น้ำแห่งวัฏฏะสายนี้ไปได้อย่างไร

ลีลาเขียนบทของวิบาก

“ทุกสิ่งสำคัญเมื่อเราให้ความสำคัญ ทุกสิ่งไม่สำคัญเมื่อเราไม่ให้ความสำคัญ สิ่งที่สำคัญสำหรับเรา อาจไม่ได้สำคัญสำหรับใครเลยก็ได้” 

ระยะหลังฉันซึ่งฟังเทศน์ทางยูทูปอยู่แล้วก็ฟังหลากหลายขึ้น ฉันได้พบข้อธรรมที่นำไปใช้ในชีวิตประจำ วันได้จริง ฉันเริ่มแยกตัวออกจากภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฉันปล่อยเวทีให้ตัวละครต่างๆแสดงบทบาท ส่วนฉันลงมานั่งที่เก้าอี้คนดู มันทำให้ฉันเห็นสิ่งที่พระธรรมสอนมากขึ้น ฉันเห็นการเอาเปรียบชัดขึ้น การทะนงตน การหลงตัวเอง การพ่ายแพ้ต่อความอยาก แต่ละเรื่องที่แสดงอย่างต่อเนื่องมายาวนานจนจบ ทำให้ฉันเห็นบทสรุปของแต่ละคนบนเวที  เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคนอื่นและตัวเองให้บทเรียนมากมาย  เผยให้เห็นที่มาของทุกข์  เห็นตัณหาความอยากที่เป็นเหตุแห่งทุกข์  เห็นการดิ้นรนของผู้คน  และเห็นว่าถ้าหยุดความอยากได้  ทุกอย่างก็จะสลายตัวไปทันที

ความทุกข์ยากทางการงานของฉัน เคยทำให้มีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นหนอ ทำไมจึงยากยาวนาน จนได้ฟังหลวงพ่อสอนว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมของเราเอง ขอให้ยอมรับ แล้วมันจะผ่านไป ฉันเริ่มมองดูเรื่องกรรมอย่างจริงจังกับเรื่องที่เกิดกับตัวเองและคนอื่น มองย้อนจากหลังมาจนถึงวันนี้ นับวันภาพฉายชัดยิ่งขึ้น จนน่ากลัว น่ากลัวเพราะได้เห็นว่ากรรมมีจริงและไม่มีใครรอดพ้นไปได้ ลีลาของวิบากยามมาถึงนั้นมีเล่ห์ล่อให้เกิดขึ้น ด้วยกลเม็ดเล็กๆ มันก็ทำสำเร็จอย่างง่ายดาย 

ฉันนั่งดู ด้วยความประหลาดใจในลีลาเขียนบทของวิบาก

เมื่อฉันเชื่อเรื่องกรรมมากขึ้นว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ไม่ใช่ปล่อยตามยถากรรม วิบากนั้นมาเมื่อมันต้องมา เมื่อมาแล้วมันจะอยู่ยาวนานแค่ไหนอยู่ที่กรรมของเรา แต่ในที่สุดเรื่องนั้นต้องไป

เปรียบเหมือนรถเมล์ต้องมา จอดอยู่ตรงหน้า  แต่ยังไงมันต้องไป อยู่ที่ว่าเราเลือกว่าจะขึ้นหรือไม่ ผลของการตัดสินใจขึ้นหรือไม่ขึ้นจะต่างกัน เราต้องรับไป

แต่การเชื่อเรื่องกรรมมาจากการที่เห็นมา 30 ปีแล้วว่ามันมีจริง ลีลาของวิบากก็เห็นมาแล้ว เมื่อรวบรวมการย้อนกลับไปมองแล้วก็ทำให้เกิดความไว้วางใจในกรรม ถ้ามาก็ชดใช้ แล้วมันก็ไป ถือว่าเป็นการชำระล้างอดีตกรรม ถ้าเราไม่เคยทำไว้ ยังไงก็ไม่มา การยอมรับแบบนี้ทำให้ใจสงบลง 

อีกด้านหนึ่งคือบุญ หลายๆครั้งในวิกฤตการณ์เราผ่านมันมาได้อย่างน่าประหลาดใจ ฉันคิดว่าบุญได้มาช่วยโอบอุ้มไว้ เพราะกรรมไม่ได้หมายถึงวิบากอย่างเดียวแต่หมายถึงบุญด้วย

เหล่านี้หล่อหลอมใจฉันให้ค่อยๆปล่อยวาง เห็นความไม่มีอะไรของชีวิต ความวิตกกังวลซึ่งเคยเป็นธรรมชาติของฉันผ่อนคลายลง การยึดโยงว่าทุกอย่างต้องสมบูรณ์พร้อมได้อ่อนกำลังลง ฉันยอมรับความบกพร่องได้มากขึ้น อภัยได้ง่ายขึ้น ปล่อยอดีตให้ออกไปจากความคิดได้ง่ายกว่าเดิม วิตกในอนาคตน้อยลงเมื่อยอมรับว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ฝึกอยู่กับปัจจุบันขณะได้บ่อยขึ้น นั่นคือการมีธรรมะแม้ในช่วงขณะของเหตุการณ์ คือรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น และใจเราเป็นอย่างไร การผ่อนเบาใจลงให้นิ่งได้นั้น ทำให้ทั้งชีวิตและจิตใจมีความสุขสงบขึ้น

ทุกสิ่งดีเสมอ

ถ้าการเรียนรู้คือการตื่นรู้ มันก็สำคัญสำหรับฉัน เพราะมีหลายอย่างในตัวเองที่ฉันอยากเปลี่ยนแปลง และเมื่อเปลี่ยนแปลงได้แล้ว จิตใจก็มีความสุขขึ้น ทำให้ชีวิตดีขึ้นตามไปด้วย”

เราไม่สามารถปกป้องสิ่งใดไว้ตามที่เราจินตนาการล่วงหน้า ทุกสิ่งมีที่ทางของมันเอง ผู้คนทั้งหลายมีหนทางของตัวเอง มีกรรมเป็นของของตน สิ่งที่เราสามารถทำได้คือ วางใจให้นิ่งสงบและดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วมีอะไรให้ทำได้บ้าง และทำให้ดี

ฉันได้เรียนรู้ว่าทุกสิ่งดีเสมอ มันดีได้เท่าที่มันเป็น แล้วมันจะผ่านไป ไม่มีอะไรสำคัญถ้าเราไม่ได้ให้มันสำคัญ ความไม่แน่นอนคือโอกาส และจงไว้วางใจในกรรม           

ฉันไม่ใช่คนเก่ง ฉันไม่ได้ตื่นรู้โดยฉับพลัน  ฉันเรียนรู้ยาวนานโดยศึกษาธรรมจากปัญหาประจำวัน  เพราะการคิด การตั้งคำถาม การวิเคราะห์เรื่องราวเป็นวิธีที่ฉันถนัด เรื่องใดที่ซ้ำซากและฉันยังติดข้องอยู่ วันหนึ่งเมื่อถามจริงจัง มันจะมีคำตอบผุดขึ้นมาให้

ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าธรรมะอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างไร การมีสติในปัจจุบันขณะกับเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านั่นเองที่เราจะมีทั้ง “โลก” และ “ธรรม” อยู่ด้วยกัน และ “ธรรม” ที่เรายึดมั่นจะทำให้ “โลก” ของเราเป็นไปในทางที่ถูกต้อง เป็นความจริงที่ว่าคนเราสามารถเป็นน้ำแข็งในกองไฟได้