จากชายหนุ่มผู้มีดีกรีทางการศึกษาในสายอาชีพนักธุรกิจ กลายมาเป็นผู้ก่อตั้ง Ghittichate Spiritual Studio กิตติเชษฐ์ สิริศรีพรชัย หรือ เชท ทำงานบำบัดรักษาทางด้านพลังงาน ทั้งเป็นที่ปรึกษาในการปรับสมดุลและแนะนำการไปสู่เป้าหมายของชีวิตด้วยการใช้ญาณทัศนะ การบำบัดแบบองค์รวมด้วยศาสตร์เรกิและพลังจักรวาล สร้างผลงานศิลปะด้านจิตวิญญาณ และนำพาผู้คนเข้าสู่ความสามารถที่ถูกลืมเลือนของมนุษยชาติ “ญาณทัศนะ” กว่าจะถึงวันนี้ ในวันที่เขาได้มีโอกาสทำการงานและหน้าที่ที่เหมือนแตกต่างจากอาชีพการงานทั่วไป ชายหนุ่มคนนี้มีเส้นทางของการเติบโตทางจิตวิญญาณที่น่าสนใจทีเดียว
จุดเปลี่ยน ณ ต่างแดน
คุณพ่อของผมเสียชีวิตเมื่อผมอายุได้ 6 ปี คุณแม่ก็ทำหน้าที่เลี้ยงดูผมและน้องชายด้วยตัวเอง ตลอดเวลาในวัยเด็กผมได้เห็นถึงความยากลำบากของคุณแม่ในการทำงานและการเลี้ยงดูลูกสองคนโดยลำพัง จนผมเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ชีวิตในรั้วมหา’ลัยทำให้ผมได้พบกับสังคมทุนนิยมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการยึดมั่นถือมั่นในวัตถุของผู้คน การมองคนโดยใช้เปลือกภายนอกเป็นตัวตัดสิน การบริโภคอย่างฟุ้งเฟ้อ จิตวิญญาณของผมเต็มไปด้วยการสร้างตัวตนบำรุงอัตตา หยิ่งผยอง อหังการ ยโสโอหัง
หลังจากนั้นผมไปเรียนปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา แต่หลังจากไปถึงได้เพียง 6 เดือนคุณแม่ก็ประสบปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนักจนไม่สามารถสนับสนุนการศึกษาของผมได้อีก แต่ผมไม่เคยยอมแพ้ เพราะผมเชื่อในประโยคที่ว่า ‘ชีวิตนี้ไม่มีคนล้มเหลว มีแต่คนล้มเลิก’ ผมต่อสู้จนสามารถเข้าศึกษาสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยประจำรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เมืองลอสแองเจลลิส ได้สำเร็จ
จากวิกฤติของชีวิตกว่า10 ปีที่ผมต้องอยู่รอดให้ได้ด้วยตนเองในสหรัฐอเมริกา กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มหันเข้ามาสนใจธรรมะและเริ่มค้นหาความหมายของการดำรงอยู่ของชีวิต ผมต้องดิ้นรนอย่างหนักด้วยตัวเองและต้องเจอสภาพยากลำบากในการดำเนินชีวิต ทำงานหนัก ฝ่าฟันทุกอุปสรรค แม้จะอ่อนล้าแต่ก็ปลอบใจตนเองเพื่อไปสู่จุดหมายให้ได้ ผมคิดมาตลอดว่าจักรวาลคงต้องการให้บทเรียนนี้เพื่อขัดเกลาจิตวิญญาณผมแน่ๆ
และถึงแม้ผมจะพยายามอย่างที่สุดแล้ว ในเวลาไม่นาน ผมก็เป็นโรคเครียดและป่วย ขณะที่ผมนอนป่วยอยู่ ตาก็มองขึ้นไปบนเพดานแล้วผมก็ถามตัวเองว่า เราเครียดจนตัวเองไม่สบายแบบนี้เพื่ออะไร ความเครียดแก้ปัญหาอะไรได้ เราจะยึดติดกับวัตถุต่างๆ หรือสถานภาพทางสังคมที่เราเคยมีหรือพยายามรักษามันไว้เพื่ออะไร มันถูกต้องแล้วหรือที่เราจะดำเนินชีวิตอย่างนี้ต่อไป ในเมื่อวัตถุต่างๆ ไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงสักนิด
เมื่ออาการดีขึ้น ผมเดินเข้าไปในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ยืนสงบนิ่งอยู่หน้าชั้นหนังสือธรรมะ ค่อยๆ หยิบหนังสือเหล่านั้นมาเปิดดูทีละเล่มจนเกือบครบ ผมได้รับความรู้สึกอันประหลาด รู้สึกเบาและสบายอย่างไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ รู้สึกเหมือนกำลังสนทนากับใครซักคนที่เข้าใจว่าความทุกข์ที่ผมมีอยู่คืออะไรและสามารถแก้ไขได้อย่างไร
‘ทุกอย่างอยู่ที่ใจ’ ณ วินาทีนั้น ในร้านหนังสือเล็กๆ แห่งนั้น ชีวิตผมได้เปลี่ยนไป ผมได้รู้แล้วว่าความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใจของเรานี่เอง ไม่ได้อยู่ที่สิ่งของรอบๆ ตัวเราเลยแม้แต่น้อย การเดินทางทางจิตวิญญาณของผมเริ่มขึ้นตอนนั้น
จากวันนั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการตื่นของหัวใจ ผมพยายามปฏิบัติพัฒนาจิตใจตนเองเรื่อยมา โดยนำแนวความคิดทางจิตวิญญาณที่ผมได้จากการอ่านหนังสือและคำแนะนำของครูบาอาจารย์ทั้งหลายมาใช้ในการดำเนินชีวิตของผม ความยโส โอหัง อัตตา ก็ค่อยๆ เบาบางลง เริ่มทำให้เห็นว่าทุกคนนั้นเท่าเทียมกันไม่ว่ายากดีมีจนเช่นไร ในดีมีร้าย ในร้ายมีดี อย่าด่วนตัดสินสิ่งใด มุมมองที่เรามีต่อโลกนั่นแหละคือโลกของเรา ซึ่งไม่ใช่โลกที่เป็นไปตามความจริงแท้
หลายปีที่ผ่านไป ผมได้เรียนรู้เรื่องการเติบโตภายใน โดยเฉพาะเรื่องญาณทัศนะ ผมพบว่า
เมื่อนิ่งจึงกระจ่างชัด
เมื่อกระจ่างชัดจึงเกิดปัญญา
เมื่อเกิดปัญญาจึงนิ่งได้มากขึ้น
เมื่อนิ่งมากขึ้นจึงกระจ่างชัดมากขึ้น
เมื่อกระจ่างชัดมากขึ้นจึงเกิดปัญญามากขึ้น
เป็นเช่นนี้เรื่อยไปจวบจนเข้าใจซึ่งความจริงแท้ทั้งมวล
ตื่นเพื่อรู้... รู้อะไร
ผมคิดว่าเราเกิดมาในสภาวะที่ใสบริสุทธิ์ แต่ชีวิตได้ผ่านกระบวนการทางสังคมซึ่งทำให้จิตของเราเบี่ยงเบนออกจากความจริงแท้สู่โลกแห่งความลวง การรับรู้ของเด็กใสสะอาดเริ่มบิดเบี้ยวไปด้วยความหมายและความยึดมั่นถือมั่นที่มนุษย์สร้างขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งพวกเขาอยู่ในวังวนที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกแห่งความยึดมั่นถือมั่น ความกลัว ความโกรธ และความหลง
จนเมื่อโอกาสแห่งการตื่นรู้มาถึง กระบวนการทางจิตวิญญาณก็จะเริ่มขึ้น พวกเขาอาจจะถูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต หลายชีวิตตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นเพราะความอ่อนแอหรือการไม่มีสติพอที่จะเห็นถึงการเรียนรู้ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในเวลานั้น แต่ในทางกลับกันหลายคนสามารถใช้สถานการณ์ที่ประสบพบเจอเป็นบทเรียนทางจิตวิญญาณ และแสวงหาการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง จนออกจากความลวง
สำหรับผมแล้วการตื่นรู้ หมายถึงการเริ่มตระหนักว่าแท้จริงแล้วสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเราเป็นเพียงสมมุติเพื่อใช้ในการเรียนรู้ทางจิตวิญญาณ เช่นนั้นแล้วจึงไม่มีความจำเป็นใดที่เราต้องยึดมั่นถือมั่นจนเป็นทุกข์ บังเกิดมุมมองที่เห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริงในธรรมชาติของสิ่งนั้น เปิดโลกทัศน์สู่ความหมายของชีวิตที่ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเช่นนั้นเอง จิตได้เข้าถึงการเชื่อมต่ออันเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งไร้การแบ่งแยกและมีความรักความเมตตาให้แก่ทุกผู้นาม หัวใจได้รู้สึกถึงว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนแต่เป็นของขวัญจากจักรวาลทั้งสิ้น
เราตื่นรู้เพื่อจะได้ชื่นชมความงามแห่งการมีชีวิตอยู่ การเห็นว่าทุกสรรพสิ่งรอบตัวล้วนได้รับพรอันประเสริฐและมีความสวยงาม แต่ความหลงผิดในมุมมองของมนุษยชาติคือตัวการสำคัญในการทำลายล้างโลกอันสวยงามใบนี้ด้วยความหลง ก่อกำเนิดความโลภและความโกรธเกลียด การแบ่งแยกออกจากกัน การตื่นรู้จึงมีความสำคัญอย่างมากสู่การเข้าถึงสัจจะความจริง การกลับเข้าสู่ความเป็นเอกภาพแห่งจักรวาล และการดำเนินชีวิตด้วยจิตที่ศิโรราบแด่ความจริงแท้ อันจะนำไปสู่ชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความสงบเย็น สันติสุข เบิกบาน ยินดี
เราจำเป็นต้องเดินทางภายในเพื่อพากายใจให้พ้นจากเมฆหมอกแห่งความลวง และเพื่อเข้าใจว่าแท้จริงแล้วเราเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง ทุกสิ่งเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกันและมีผลกระทบต่อกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเราตื่นรู้เราจึงมุ่งมั่นที่จะปรับเปลี่ยนปรับปรุงตนเองเพื่อเพิ่มความถี่ให้สูงขึ้นซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นในการยกระดับจิตวิญญาณและความสงบสุขของสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา
พบคุณค่าเมื่อเข้าถึงความจริง
นี่คือเส้นทางที่ทำมนุษย์ได้พบคำตอบว่า เรามีชีวิตไปเพื่ออะไร สิ่งใดคือคุณค่าของชีวิตที่แท้จริง เราควรทุ่มเททรัพยากรที่มีอยู่ในชีวิตนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาของเราไปเพื่อสิ่งใด การใช้ชีวิตของเราจะสอดคล้องกับธรรมชาติ จิตใจแจ่มใสเบิกบาน ชื่นชมซาบซึ้งไปกับสรรพสิ่งรอบตัว ที่สำคัญที่สุด การมีมุมมองของชีวิตอยู่บนความจริงแท้ ทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นและสงบสุข เพราะเราเห็นว่าทุกสิ่งสมบูรณ์ด้วยตัวเองในทุกขณะอยู่แล้ว ทำให้เรายอมรับกับสถานการณ์ด้วยใจที่โอบรับ ไร้ตัดสิน ไร้ขุ่นมัว ไร้ทุกข์
เราจะตกอยู่ในวังวนแห่งอารมณ์น้อยลง จนในที่สุดเราอาจจะแค่รับรู้ว่ามีอารมณ์เกิดขึ้นจริง แต่จิตของเราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอารมณ์ แต่จะมุ่งไปสู่การเรียนรู้ของจิตวิญญาณ แน่นอนว่า เราจะอยู่ในสภาวะที่เปิดรับกับทุกสิ่งไม่ว่าดีหรือร้าย ดีก็เช่นนั้น ร้ายก็เช่นนั้น เพราะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าทุกสิ่งจะผ่านไป
เราเพียงเห็นซึ่งคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้น ยอมรับ น้อมรับ โอบรับ หากสิ่งนั้นยังไม่สอดคล้องกับความจริงแห่งใจ เราก็ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง สร้างการกระทำใหม่ที่สอดคล้องกับความจริงแท้ ทุกสิ่งก็เป็นเช่นนั้นเอง
ก็ในเมื่อทุกสิ่งล้วนเป็นเช่นนั้นเองมีเพียงจิตของเรานั่นแหละที่หลงไปยึด หลงไปมั่น ว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี สิ่งนี้เป็นของฉัน สิ่งนั้นเป็นของเธอ เปรียบเทียบ ตัดสิน และคาดหวัง เมื่อภาพแห่งความจริงที่ผ่านจากกระจกแห่งมุมมองของตัวเราไม่สอดคล้องกับสัจจะความจริงแห่งธรรมชาติความทุกข์จึงเกิดขึ้น ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น สูญสิ้นไปซึ่งความสงบสุขในหัวใจ
ความแน่นอนที่สุดแห่งชีวิตคือความไม่แน่นอน เราจึงไม่ควรยึดติดสิ่งใดว่าสิ่งนั้นจะคงทนถาวร เพราะนั่นไม่สอดคล้องกับกฎแห่งธรรมชาติ เราเพียงทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดด้วยความรักและแรงปรารถนาจากหัวใจที่จะทำหน้าที่ของตนอย่างมีความสุข
กำลังใจถึงเพื่อนร่วมทาง
การเติบโตภายในไม่ใช่เรื่องของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องใกล้ตัวในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ผู้ตื่นก็คือปุถุชนธรรมดาไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นมนุษย์เดินดินที่ยังใช้วงจรชีวิตตามปกติ เพียงมีสติและตั้งคำถามที่ถูกต้องให้กับตนเองในสถานการณ์ที่พบเจอ เพื่อตระหนักรู้ถึงบทเรียนทางจิตวิญญาณที่จักรวาลกำลังมอบให้ สิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนมีความสามารถที่จะเข้าถึงได้และสิ่งนี้จะนำความสงบสุขมายังชีวิตของพวกเขา
ในทุกวันนี้ผมนำวิชาทั้งหลายที่ได้ศึกษาและฝึกฝนมาผสมผสานกันเพื่อใช้ในการรักษาสมดุลแบบองค์รวม ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยชี้ให้ผู้สนใจศึกษาเห็นเหตุที่แท้จริงของปัญหาต่างๆ และแนะนำวิธีแก้ไขเพื่อความสุขที่แท้จริง ผมมีความสุขมากที่ได้มีส่วนทำให้พวกเขาได้รับรู้ว่าเขาเองก็สามารถมีความสุขได้ในทุกขณะจิตโดยไม่ต้องสร้างสิ่งใดเพิ่มขึ้นเลย