Search
Close this search box.

เห็นโลกภายในที่บิดเบือนสู่สังคมที่ทุกคนรักกัน

ตั้งแต่เด็กๆ เอ็กซ์ หรือ อิทธิศักดิ์ เลอยศพรชัย เชื่อว่าโลกที่คนทั้งโลกรักกันนั้นมีอยู่จริง “เพียงแค่คนเรารักกันทั้งโลก คนบนโลกใบนี้คงมีความสุขพร้อมๆ กัน” ความฝันดังกล่าวได้สร้างเส้นทางชีวิตจนวันที่เอ็กซ์มาได้รับตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิสหธรรมิกชน องค์กรสาธารณะกุศลที่มีบทบาทในการสร้างกระแสแห่งการเติบโตทางจิตวิญญาณและความรักในสังคม มุ่งหวังสร้างประสบการณ์การเข้าถึงความเป็น ‘หนึ่งเดียวกัน’ ทำให้หัวใจของผู้คนเติบโตและพร้อมแบ่งปันความสุขสู่ผู้คน และเข้าถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเองผ่านรูปแบบการเรียนรู้และการปฏิบัติเพื่อพัฒนาตนเองอย่างหลากหลาย ไม่จำกัดอยู่ภายใต้ศาสนา พิธีการ หรือความเชื่อรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

การตื่นรู้คืออะไร

สำหรับผมการตื่นรู้คือการเห็นความจริง แต่การเห็นความจริงในแบบตื่นรู้นี้แปลกกว่าการเห็นด้วยตาเนื้ออย่างหนึ่งคือ การตื่นคือการเริ่มต้นจากการเห็นและยอมรับความจริงในตัวเองก่อน ว่าเราเป็นอย่างไรกันแน่ ดีเลวอย่างไร กลัวอะไร เราอาจเคยเบียดเบียนผู้อื่น หรือแม้กระทั่งทำร้ายตัวเองโดยการกดดันตัวเอง ตำหนิโกรธเกลียดชังตัวเองมามากแค่ไหนในชีวิตที่ผ่านมาโดยที่เราไม่รู้สึกตัว ซึ่งความจริงที่เราทำกับตัวเองนั้นเราก็กระทำต่อผู้อื่นในแบบเดียวกันโดยที่เราไม่รู้ตัว และเมื่อเราเข้าใจ ตัวเองยอมรับตนเองแบบขั้นสุด รักตัวเองได้หมดแล้วนั้น เราจะสามารถมองออกมาสู่ภายนอกตนเองสู่ผู้อื่นได้อย่างอ่อนโยน เป็นความรักความเมตตา เป็นความเข้าใจความจริงของผู้อื่นได้ต่อไป ผมเชื่อว่าเราปุถุชนเป็นเช่นนี้กันทุกคน และนั่นคือที่มาของคำว่า ‘เพื่อนร่วมทุกข์’ ที่มีทั้งความสุขและความทุกข์ร่วมกัน

ถ้าพูดถึงคำว่าตื่นก็แสดงว่าต้องมีคำว่า ‘หลับ’ การหลับใหลที่ผมกำลังสื่อนั้นคืออาการที่เราตัดการรับรู้ตามความเป็นจริงจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงบนโลกรอบตัว แล้วเรายึดที่จะจมไปกับอะไรบางอย่างที่เราอยากไป อยากเป็น หรือพึงพอใจ หรือจมไปกับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เรายึดว่านี่คือโลกความจริงของเรา แล้วเรารักษาโลกใบนั้นเอาไว้อย่างสุดชีวิตด้วยความพึงพอใจ/ไม่พึงพอใจ ชอบ/เกลียดชัง สนับสนุน/ทำลาย นั่นคือพลังของทวิภาวะที่เร้าใจเราเรื่อยมาให้เรายังเลือกที่จะยึดอยู่โยงใยในสังสารวัฏนี้ต่อไปด้วยความ ‘ไม่รู้’

เราไม่รู้ว่า มีอะไรสิ่งใดเหตุปัจจัยใดบ้าง ที่ทำให้เราเป็นแบบนี้ในวันนี้ชาตินี้ มีนิสัยดี นิสัยเสียแบบนี้ อะไรทำให้เรามีความปรารถนา มีสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบ สิ่งที่รับได้รับไม่ได้แบบนี้ ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมากมาย และคงไม่มีทางรู้ได้ทั้งหมด มีหลายสิ่งหลายอย่างมหาศาลที่เป็นเหตุปัจจัย ทำให้จิตวิญญาณเราเป็นแบบนี้ ทั้งหมดนั้นล้วนมีสิ่งที่เรา ‘ไม่รู้’ อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น 

สิ่งที่เราไม่รู้มากมายมหาศาล บางทีทางออกที่ง่ายที่สุด เพียงแค่เรา ‘รู้’ ว่าเรา ‘ไม่รู้’ อะไรเลย แล้วยอมรับว่าชาตินี้ทั้งชาติก็ยังคงไม่มีวันรู้ได้เลยว่าเหตุปัจจัยทั้งหมดที่ทำให้เราทุกข์แบบนี้มาจากอะไรบ้าง เมื่อเรายอมรับและเลิกดิ้นรนตามหาคำตอบ เมื่อนั้นสิ่งที่เราต้อง ‘รู้’ ในปัจจุบันนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ก็จะแง้มปรากฏขึ้นให้เราเริ่มเข้าใจ ไว้ใจ และรักตัวเองตามความเป็นจริง

เมื่อก่อนผมคิดจินตนาการเอาเองว่าการตื่นขึ้นนั้น คือสิ่งที่น่าตื่นเต้นน่าไขว่คว้า ทรงพลังระเบิดออกสว่างไสว และเปี่ยมด้วยความสุขปีติที่ล้นหลาม แต่เมื่อเริ่ม ‘รู้จักยอมรับตัวเองตามความเป็นจริง’ อย่างลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ นั้น กลับพบว่าการที่เราสามารถตระหนักรู้และอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนั้นกับความจริงของตัวเองที่เราหลีกหนีปิดบังซ่อนเร้นมานานได้ โดยไม่หลีกหนีผลักไสรังเกียจ หรือไม่เข้าข้างตัวเองด้วยความพึงพอใจด้วยความเคยชินไปตามความรู้สึกนึกคิดใดๆ นี่แหละคือการให้ของขวัญกับตัวเองที่งดงามและไม่มีความสุขใดจะเทียบได้เลย  

นี่คือการตื่นรู้สำหรับผม ตื่นเพื่อกลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติธรรมดาที่มันเป็นจริงอยู่แล้วเช่นนั้น งดงาม บริบูรณ์ด้วยรัก และเป็นความจริงเสมอไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ หรือดับไป

บนเส้นทางของการเติบโตภายใน

ตอนผมยังเป็นเด็กอนุบาล ผมมีความทุกข์มาก ขี้เหงา ต้องการความรัก หวาดกลัวเวลาที่พ่อแม่ไม่อยู่ด้วย ผมเป็นเด็กเกเรชอบเล่นกับเพื่อนด้วยความรุนแรงชอบด่าและทำร้ายเพื่อน ผมถูกเกลียดจากเพื่อน ถูกลงโทษเป็นประจำจากคุณครูและพ่อแม่ ผมอึดอัดมากเวลาอยู่กับคนนอกครอบครัวที่อารมณ์เสีย เกลียดแม้กระทั่งคุณครูที่มาใช้อำนาจโดยการออกคำสั่งบังคับหรือลงโทษ บ่อยครั้งที่ผมขโมยของจากเพื่อน โกหกเพราะกลัวความผิด แล้วผมโดนพ่อแม่ลงโทษดุต่อว่า ผมนอนร้องไห้เรียกร้องความสนใจและการให้อภัยอยู่บนเตียงที่พ่อแม่นอนขนาบข้าง… แต่บนเตียงนั้นเหมือนมีผมอยู่เพียงคนเดียว

ตอนนั้นผมจำได้ว่าผมเหงา กลัว เจ็บปวด ร้องไห้อย่างโหยหวนทั้งคืน และผมต้องการความรักความเข้าใจจากคนที่ผมรักจริงๆ พ่อแม่ผมก็แสดงออกดีที่สุดสำหรับผมที่เป็นลูกชายคนเดียวที่เป็นความรักและเพื่อเป็นคนดีในอนาคต ถ้าตามใจผมมากไป ณ ตอนนั้นผมก็คงได้ใจ พ่อแม่ผมทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ณ จังหวะนั้น

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการรังเกียจและซ่อนเร้นปิดบังตัวเอง ผมตั้งมั่นกับตัวเองถึงขั้นรังเกียจปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองเป็นอย่างสิ้นเชิงว่า “ชั้นจะไม่เป็นแบบนั้นอีกต่อไป ถ้าเป็นอีกขอตายยังจะดีกว่า ไม่อยากทรมานและถูกเกลียดอย่างนั้นอีกแล้ว” เพราะผมไม่อยากเป็นคนผิดที่ถูกลงโทษแล้วต้องเจ็บปวดร้องไห้เรียกร้องขอความรักความเข้าใจจากใคร โดยที่ไม่ได้รับการสนใจอีกต่อไป มันเจ็บปวดมันทรมานจริงๆ สำหรับผมในวัยเด็ก

ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้วัยเด็กของผมมีพฤติกรรมแบบนั้น ถึงวันนี้ผมจึงเริ่มเห็นแล้วว่านั่นคือ “ตัวจริง” ที่ผมปิดบังซ่อนเร้นตัวเองเอาไว้ กลายเป็นความรังเกียจผลักไสไม่ยอมรับความเป็นจริงของตัวเองตั้งแต่เด็ก ผมคิดว่าถ้าเราสอนคนอื่นหรือลงโทษคนอื่นด้วยความรู้สึกนึกคิดแบบไหน ความรู้สึกนึกคิดแบบนั้นก็จะไหลเข้าไปกลายเป็นตัวตนของคนที่ถูกลงโทษด้วยไม่มากก็น้อย เช่น ตอนลงโทษ ใจคนตีรู้สึกว่าต้องลงโทษให้เข็ดเพราะไม่อยากให้ลูกเลว เมื่อมีความ ดี/เลว ในใจเมื่อลงโทษไปความเป็นทวิภาวะ ดี/เลว ก็จะเป็นสิ่งที่ปลูกฝังไปในตัวตนของเขาด้วยเช่นกัน กลายเป็นว่าที่ฉันดีเพราะฉันไม่อยากเลว สุดท้ายแล้วก็กลับมาที่ความรังเกียจปฏิเสธผลักไสในใจอยู่ดี

เมื่อโตขึ้นผมกลายเป็นคนไม่ค่อยพูด ผมกลัวการพูดตรงๆ แล้วไปกระทบอารมณ์ทำให้คนอื่นไม่ชอบแล้วกระแทกอารมณ์โกรธเกลียดกลับมา ผมไม่อยากเจอความโกรธเกลียดจากใครอีกแล้ว ผมเลยกลายเป็นคนไม่พูดไม่สื่อสารความรู้สึกออกมาตรงๆ แต่จะแสดงออกตามความต้องการโดยอ้อม โดยการเรียกร้องสิ่งที่ต้องการด้วยการทำให้ตัวเองทุกข์ ทำให้ตัวเองป่วย การร้องไห้ การงอแง การดื้อต่อต้าน การประชดประชัน มีแผนการตลอดเวลา และที่สำคัญผมกลายเป็นคนที่พยายามทำให้ผู้อื่นพึงพอใจเรา เป็นคนที่รอรับความพึงพอใจตลอดเวลา มองย้อนกลับไปผมรู้สึกว่าผมนี่แหละเป็น ‘ขอทานทางจิตวิญญาณ’ ตัวจริง

เมื่อเวลาผ่านไปนิสัยความเคยชินเหล่านี้พัฒนากลายเป็นความจริงในแบบเรา ผมเริ่มปรุงแต่งต่อยอดนิสัยให้กลายเป็นบุคลิก ผมสร้างเงื่อนไขและหลักการที่กลายเป็นศีลธรรม ความถูกต้อง ความรัก และความดีงาม ในแบบของผม ผมสร้างพื้นที่ปลอดภัยของผมด้วยความรู้สึกนึกคิดของตัวผมเอง และให้คุณค่างดงามกับพื้นที่ตรงนั้นเป็นความฝันเป็นแรงปรารถนาที่ประคบประหงมไม่ให้ใครแตะต้องประดุจดั่งไข่ทองคำในตะกร้า นี่คือมหากาพย์แห่งการปรุงแต่งความทุกข์ความเจ็บปวดความเกลียดชัง ให้กลายเป็นความถูกต้องที่สวยงาม นี่คือเรื่องราวของการสร้างอาณาจักรอันแข็งแกร่งในโลกภายในของตัวผมเอง เพื่อซ่อนเร้นตัวเองที่เราเกลียดและไม่อยากกลับไป ‘รู้สึก’ แย่กับอดีตอีกครั้ง

และนี่คือเหตุปัจจัยที่ทำให้ผมเชื่อว่า “เพียงแค่คนเรารักกันทั้งโลก คนบนโลกใบนี้คงมีความสุขพร้อมๆกัน” ความปรารถนานี้เกิดจากความทุกข์อันมหาศาลในใจผม ที่ผมอยากหยุดความวุ่นวายที่สร้างความเกลียดชังบนโลกใบนี้ อยากหยุดระบบอะไรบางอย่างที่ทำให้โลกใบนี้มันทุกข์ทรมานมานานแสนนาน

จนอายุ 30 ต้นๆ โลกภายในที่บิดเบือนนั้นมันเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ผมได้ใช้ชีวิตตามแบบที่ผมเชื่อว่าดีงาม สวยงาม เปี่ยมด้วยความรักและสูงส่ง แต่แปลก สิ่งที่ผมเชื่อว่าดีที่สุดต่อทุกคนยิ่งผมทำให้ผมมีความทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นความทุกข์ที่ไม่มีที่มาที่ไปจับต้นชนปลายไม่เจอ หนาแน่นหนักหน่วงมืดมน เปี่ยมความหวังที่อยู่แสนไกล เปี่ยมด้วยความปรารถนาที่ให้โลกนี้ดีขึ้นด้วยความรักกัน แต่ผมเองกลับเหมือนคนที่จมลงไปในทะเลดำที่มืดสนิท ผมพยายามไขว่คว้าตะเกียกตะกายขึ้นมาหายใจ และมองหาแสงสว่างที่อยู่เหนือผิวน้ำ

ต่อมาผมเกิดเหตุการณ์ความล้มเหลวในชีวิต ผมทรุดจมไปในความผิดพลาด มันแย่มาก มากจนทำอะไรไม่ได้เลย ผมงงมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ทำไมผมช่างอ่อนแอ คำถามที่ก้องในหัวแทบจะตลอดเวลาคือประโยคที่ว่า “ความทุกข์นี้คืออะไรกัน กูไม่อยากเป็นเลย และมึงหายๆ ไปได้แล้ว” 

ผมทรมานอย่างนั้นอยู่ประมาณ 2 ปี ผมรังเกียจความทุกข์มาก อยากหนี อยากหายๆ ไปจากความทุกข์นั้นให้เร็วที่สุด อยากหาคำตอบ อยากตามหาใครก็ได้ที่เก่งที่สุดเพื่อมาช่วยเรา ผมออกตามหาวิธีการ หาครูอาจารย์ ทดลองสัมผัสศาสตร์ต่างๆ เผื่อจะเจอคำตอบที่มันรู้สึกใช่ แต่ยิ่งหากลับยิ่งไม่เจอ ยิ่งห่างไกลไปเรื่อยๆ

แล้ววันหนึ่งผมก็พบจุดเปลี่ยนของการเติบโตภายใน จุดเปลี่ยนสำคัญนี้เกิดขึ้นจากคำว่า ‘เพื่อน’ ก่อนหน้านี้ผมไม่เชื่อว่าเพื่อนหรือกัลยาณมิตรนั้น จะช่วยให้เราเข้าใจความทุกข์แล้วตื่นและรู้จักตนเองได้ เพราะที่ผ่านมาผมคิดว่าการตื่น หรือการตระหนักรู้ มันค่อนข้างเป็นสิ่งวิเศษที่สูงส่ง ไม่น่าจะมาจากความธรรมดาอย่างคำว่า ‘เพื่อน’ แต่เพื่อนใหม่ที่ผมเจอเมื่อกลางปี พ.ศ.2559 นั้น เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตผมอย่างแท้จริง

ผมได้เจอเพื่อนกลุ่มที่มีชื่อว่า ‘สหธรรมิก’ (ต่อมาเพื่อนกลุ่มเดียวกันนี่แหละที่ก่อตั้งมูลนิธิที่ชื่อว่ามูลนิธิสหธรรมิกชน) ผมเพิ่งเข้าใจว่าเพื่อนสำคัญมาก เพราะเพื่อนมี ‘ความจริง ความงาม ความรัก’ ในแบบธรรมดาปกติให้เรา เขาให้ความเป็นเพื่อนกับผม ดูแลห่วงใยผมลงลึกถึงการเติมเต็มความรู้สึกที่ผมรู้สึกขาดพร่องมานานแสนนาน และสะท้อนสิ่งที่ผมเป็นตามความเป็นจริงแบบที่ผมเป็น ความแย่ความซับซ้อนซ่อนเล่ห์เห็นแก่ตัวที่ตัวเองเกลียดชังกดทับเก็บซ่อนมันเอาไว้ในวัยเด็กนั้นเพื่อนที่นี่ไม่รังเกียจ ทุกคนมองว่านั่นเป็นปัญหาร่วมกันของทุกคน เป็นพื้นที่ที่เปิดใจให้ผมค่อยๆ แง้มใจนำสิ่งที่แย่หมักหมมที่ผมเกลียดตัวเองให้สามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติ ไม่ต้องเก็บซ่อนปิดบังตัวเองอีกต่อไป

วันหนึ่งผมได้รับฟังความจริงเรื่องหนึ่งจากเพื่อนๆ ที่ผมมั่นใจว่าผมไม่ผิด สิ่งที่เกิดขึ้นคือผมเศร้าหมอง น้อยใจ ประชดประชัน สงสัยไม่เชื่อ เต็มเปี่ยมด้วยความไม่พอใจเพื่อนๆ เพราะรู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจความหวังดีของเรา ผมจมอยู่ในสภาวะนั้นอยู่ 3 วัน จนเมื่อผมคุยกับเพื่อนอีกครั้ง ทุกคนลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แถมยังอารมณ์ดียิ้มแย้มแจ่มใสให้ผมอีกต่างหาก ผมจึงเห็นว่าเรานี่แหละที่คิดและซ้ำเติมตัวเองอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีใครมาทำอะไรเราเลย 

เมื่อรู้ชัดว่าเราทำร้ายตัวเองไม่ใช่ใครทำร้ายเรา ผมดำดิ่งเข้าไปในโลกภายใน กลับเข้าไปหาความรู้สึกที่เรายึดไว้จนเกิดความหดหู่ ประมาณไม่กี่วินาทีผมพบความรู้สึกของตัวเองในวัยเด็กที่นั่งคุดคู้ซึมเศร้าร้องไห้เรียกร้องเฝ้ารอให้ได้รับความสนใจ ทันใดนั้น ผมก็เกิดอาการที่อธิบายเป็นคำพูดได้ยาก และหลุดออกจากสภาวะทุกข์ที่จมมา 3 วัน

ความรู้สึกทุกข์นั้นไม่ได้หายไปด้วยวิธีการกดข่ม คิดพิจารณาหรือจินตนาการ แต่เรา ‘แค่รู้’ อยู่ตรงนั้นเวลานั้นว่ามีอยู่ เพียงแค่รู้ว่าเรามีเขาที่ทุกข์อยู่ เราก็ไม่ได้เป็นเขาที่เป็นความทุกข์นั้น แค่รู้ว่ามีอยู่ เราก็ไม่ได้เป็นแล้ว เขาไม่ได้หายไป ยังอยู่ในเรา แต่เราก็ไม่ได้เป็นเขา ไม่ได้เป็นความทุกข์นั้นแล้วด้วยเช่นกัน 

ผมกลับรู้สึกว่าผมมีความรักต่อความรู้สึกทุกข์นั้นและสามารถดูแลรับผิดชอบไปด้วยกันกับการเดินทางของผมได้ พอผมเริ่มเดินทางไปพร้อมเขาโดยที่ไม่รังเกียจและไม่ได้เป็นทาสเขา ผมประหลาดใจที่ความทุกข์เหล่านั้นกลับเปลี่ยนสถานะจากความจมทุกข์มืดบอดกลายเป็นปัญญาที่เปี่ยมด้วยความรักความเข้าใจ ให้ผมสามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุขและทำประโยชน์ได้อีกมาก

ผมรู้สึกว่าประสบการณ์การตระหนักรู้ครั้งแรกที่ชัดเจนแบบนี้ เป็นเรื่องมหัศจรรย์เลยก็ว่าได้ และทำให้ผมซาบซึ้งคำสอนของพระพุทธศาสนา เรื่องของการเจริญสติรู้ว่าขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา

หลังจากนั้นมาผมก็เดินทางภายในต่อไป และรู้ว่าประสบการณ์การตื่นรู้นั้นไม่มีวันจบวันสิ้น เมื่อใดที่เราปักหลักยึดเชื่อว่าเราตื่นแล้วรู้หมดแล้วหรือบรรลุแล้ว นั่นแหละคือการที่เริ่มยึดอัตตาบางอย่างเรียบร้อย

ผมขอแบ่งปันว่า เมื่อไรที่เราเจอความทุกข์ ความไม่ชอบ ความรู้สึกไม่ถูกต้อง ไม่พึงพอใจ ขอให้ทุกท่านได้พิจารณาว่านี่อาจเป็นโอกาสทองที่ธรรมชาติมอบเหตุให้เราได้เข้าใจอะไรบางอย่างที่เราเก็บความขัดแย้งกับตัวเราเองไว้มานานแสนนาน ให้เราได้มีโอกาสปล่อยวางอัตตากิเลสความทุกข์นั้น แล้วกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเองอีกครั้ง

ทำไมถึงต้องตื่นรู้

การตื่นรู้เป็นไปเพื่อได้เรียนรู้และรู้จัก ‘ทุกข์’ ที่เรายึดไว้ด้วยความไม่รู้ ผมเชื่อจากประสบการณ์จริงส่วนตัวว่า ธรรมชาติของจิตวิญญาณมีการเรียนรู้ และจิตวิญญาณมีขีดจำกัดในการยึดแบกอัตตากิเลสเอาไว้ ถึงจุดหนึ่งจะมีระบบของความสมดุลมาคลี่คลายปล่อยวางสะสาง ซึ่งระบบนี้ก็คือ กฎไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลคือกฎนี้ ทั้งสิ่งที่จับต้องได้ เช่น สสาร โลก ทะเล ดวงดาว ดวงจันทร์ ฯลฯ และสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น ความคิด ความจำ ความรู้สึก อารมณ์ สภาวธรรมต่างๆ ฯลฯ ทุกอย่างล้วนอยู่ในกฎนี้ทั้งสิ้น เมื่อเรายอมรับกฎนี้ได้นั้น ชีวิตเราจะเคลื่อนไหวและไหลไปอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ

ถึงจุดนั้น ชีวิตจะเป็นปกติสุขมีความเจริญในแบบที่เหมาะสมกับจิตวิญญาณของเรา งานหรือหน้าที่ที่ทำก็สอดคล้องกับการสะสางความทุกข์ในตัวเอง เมื่อคนหนึ่งทำงานเพื่อการรู้จักเข้าใจความทุกข์ของตัวเอง งานนั้นจะมีพลังที่ไปส่งผลให้คนอื่นที่ยังมีความทุกข์ ที่ยังไม่รู้สึกตัวสร้างแรงสั่นสะเทือนแล้วเปิดใจให้เขากล้าเอาตัวเองที่ซ่อนเร้นหวาดกลัวนั้นออกมายอมรับเปิดเผยเพื่อเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน

ตื่นสู่ชีวิตใหม่

ผมพบว่าการตื่น ทำให้ผมเป็นเพื่อนได้กับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเลย พื้นที่ปลอดภัยเรากว้างขึ้น ทุกอย่างเริ่มไร้เงื่อนไข เราดำรงอยู่ด้วยปัญญา ความเมตตา ความรัก และความกล้าหาญ (ไม่ได้มาจากความกลัว) มีเจตนาเพื่อประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน เกิดความเจริญที่สมดุลทั้งโลกภายในและโลกภายนอก

ผมเครียดและจมอยู่ในสภาวะอารมณ์ต่างๆ น้อยลง มีศักยภาพในการรับมือกับเรื่องราวมากมายที่ผกผันในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น ที่สำคัญคือทำให้มีการแก้ปัญหาด้วยวิธีการใหม่ที่อยู่บนความจริง ไม่ถูกความกลัวบดบังปัญญา ทำให้แก้ปัญหาได้อย่างเป็นธรรมชาติ และไม่บานปลายจนเกิดปัญหาใหม่

ปัจจุบัน สิ่งที่ผมได้รับคือชีวิตใหม่ที่เข้าใจความรักความเมตตาอย่างอ่อนโยนต่อตนเองจากภายใน เริ่มเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง เข้าใจตัวเองว่าอาการดิ้นรนทุรนทุรายต้องออกไปสร้างความรักให้เกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในโลกภายนอกนั้นจริงๆ เป็นอย่างไรมีอะไรอยู่เบื้องหลัง  เริ่มเข้าใจความทุกข์ของเรา เข้าใจความสุขของเรา และเข้าใจความเป็นจริงของเรา

ตื่นเพื่อตนเอง ตื่นเพื่อสังคม

ก้าวเล็กๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ธรรมดาแต่ยิ่งใหญ่ คือ ความเป็น ‘เพื่อนแท้’ ที่แม้แตกต่างก็เข้าใจ แม้ไม่เข้าใจแต่ไว้ใจ แม้ไม่เห็นด้วยก็ไม่ตัดสินกัน แม้ไม่ชอบก็ใส่ใจความรู้สึก และก้าวใหญ่ต่อไปที่จะทำให้สังคมหรือชุมชนผู้รู้ตื่นเกิดขึ้นได้จริงเป็นวิถีชีวิตนั้น ผมคิดว่าประกอบด้วย 4 องค์ประกอบสำคัญคือ 1.สังคม 2.ศิลปะ 3.วิทยาศาสตร์ 4.ปรัชญา(ศาสนา) บนพื้นฐานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อันเป็นหลักการของมูลนิธิสหธรรมิกชน ซึ่งเมื่อเราสามารถทำให้ทั้ง 4 องค์ประกอบเชื่อมโยงไม่แบ่งแยกพร้อมกับการเติบโตภายใน

อุปสรรค หลุมพราง และคำแนะนำบนเส้นทาง

ขออนุญาตใช้ภาษาและความเข้าใจส่วนตัว ผมเรียกว่ามารกลายร่าง ก็คือการที่กิเลสหรืออัตตา เมื่อเขาได้รับรู้เรียนรู้สัมผัสสภาวธรรมต่างๆ ปัญญาต่างๆ ไปพร้อมกับเรา เขาก็เติบโตไปพร้อมเราด้วยเช่นกัน หลบซ่อนเก่งขึ้น เป็นการเอาเข้าตัวแบบแนบเนียนขึ้นให้สติเราตามไม่ทัน พยายามหาทุกวิถีทางให้ยังคงสิงสถิตในตัวเราได้ต่อไป กิเลสอัตตาเขากลัวตาย และสิ่งที่ทำให้กิเลสอัตตามันตาย มันถูกจับได้ก็คือ การมีสติรู้สึกตัว นั่นเอง