ในยุคสมัยแห่งความรวดเร็วและวุ่นวาย มีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้รับผลกระทบทางร่างกายและจิตใจจากวิถีชีวิตที่เร่งรีบและซับซ้อนเช่นนี้ นักเยียวยา หรือ Healer จึงเริ่มกลายเป็นอาชีพที่เป็นที่ต้องการในสังคมสมัยใหม่ ดร. อรุโณทัย ไชยช่วย หรือครูเอ๋ ทำงานเป็นนักบำบัดและเยียวยาโดยใช้ Minddala* และ Mindtangle* เป็นเครื่องมือ
ปัจจุบันครูเอ๋ทำงานเป็นอาจารย์พิเศษที่วิทยาลัยออยเบีย เมืองดอร์ทมุน ประเทศเยอรมนี รับผิดชอบฝึกอาชีพให้ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนอาชีพที่เกี่ยวข้องการดูแลเด็ก ผู้ป่วย และผู้สูงอายุ ภายใต้การสนับสนุนของรัฐ เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาเพื่อการเยียวยาในประเทศไทย เปิดคอร์สฝึกอบรมให้บุคคลทั่วไปที่สนใจในศาสตร์การเยียวยาด้วย Minddala และ Mindtangle อีกด้วย
แต่กว่าเธอจะทำหน้าที่ดูแลผู้อื่นได้ ร่างกายและจิตใจของเธอก็คงต้องผ่านการเรียนรู้ ฝึกฝนมาไม่น้อยเช่นกัน
เมื่อลืมตาภายใน ใจก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
การตื่นรู้ คือชั่วขณะแห่งความสว่างภายในที่เห็นความจริง ที่เสียงภายในประสานกันเป็นหนึ่ง “อ๋อ ความจริงเป็นเช่นนี้นี่เอง” ในขณะที่เห็นซึ่งความจริงและเกิดเสียงประสานรวมกันเป็นหนึ่งนั้น เป็นชั่วขณะที่ลมหายใจสงบนิ่งเป็นหนึ่งเดียวกับคลื่นพลังงานรอบตัว แล้วเกิดความกระจ่างภายใน คือ การยอมรับและเข้าใจในกันและกันของความคิดความรู้สึกภายในตนเอง
อีกทั้งยังเป็นการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวจากภายในและประสานเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติภายนอก ที่เราจะไม่ฝืนไม่ต้านความจริงของชีวิตในขณะนั้นๆ ข้างในตัวตนของเราจะยอมรับ และเข้าใจในความจริงในขณะนั้นๆ อย่างไร้ข้อกังขา
ทุกๆ ครั้งที่เราได้ตื่นรู้ในความจริงใดความจริงหนึ่งนั้น ตัวจริงแท้ของเราก็จะค่อยๆ ปรากฏชัดแจ้งขึ้นภายใน
เกิดการตระหนักรู้ในความอยากความไม่อยากของตนเอง ว่าตรงกับความจริงในปัจจุบันขณะนั้นหรือไม่ และเรายอมรับด้วยความเข้าใจว่า ทุกเหตุการณ์ในชีวิตล้วนเกิดจากความอยากความไม่อยากของตัวเราทั้งสิ้น
การตื่นรู้ คือชั่วขณะหนึ่งที่เกิดขึ้น และจะเป็นชั่วขณะที่เรารู้ว่าชีวิตนับแต่ต่อไปนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
จังหวะแห่งการตื่นสู่ความจริง
สมัยที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่สาม (อายุ 21 ปี) ได้ยินคำถามจากวิทยากรที่มาบรรยายว่า “น้องๆ มีงานอะไรที่อยากทำหรือยัง งานที่ทำให้น้องอยากตื่นนอนในทุกๆ เช้าเพื่อไปทำงาน”
จากคำถามนี้ ทำให้ตนเองเห็นความจริงในชีวิตว่า ยังไม่มีงานที่อยากทำอย่างจริงจัง แม้จะเรียนเพื่อไปเป็นครูสอนเด็กๆ ก็ยังไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงของชีวิตตนเอง นับจากวันนั้น ฉันเริ่มค้นหาคำตอบที่เป็นความจริงให้ตนเอง จนพบว่า ชีวิตของตนเองนั้นเกิดมาเพื่อทำงานอะไรให้ชีวิตมีประโยชน์แก่สังคมโลกนี้
อีกประสบการณ์การตื่นที่ทำให้ตนเองยอมรับด้วยความเข้าใจว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อทำอะไร ก็เมื่อตอนอายุ 32 ย่าง 33 ปี ที่เกิดวิกฤติครั้งที่หนักหนาสาหัสขึ้นในชีวิต ฉันทำธุรกิจอย่างหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด และร่วงลงมาสู่จุดยิ่งกว่าต่ำสุด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ตนเองยอมรับในความจริงว่า ตัวเราเกิดมาเพื่อทำสิ่งใดในชีวิตที่มีลมหายใจนี้ นั่นคือ การเกิดมาทำงานกับบุคคลพิเศษ
ตื่นรู้สู่การเติบโตภายใน
สิ่งสำคัญที่ได้คือ การเห็น ยอมรับและเข้าใจในความเป็นธรรมดาของชีวิต ทุกอย่างคือความธรรมดา ได้การมองชีวิตที่เป็นองค์รวม ไม่ได้ยึดติด ยึดมั่นถือมั่นแค่จุดใดจุดหนึ่งของชีวิต และเห็นในความจริงที่ว่า เหตุการณ์ทุกอย่างในชีวิต ล้วนมีเราเป็นเหตุทั้งสิ้น ตราบที่เรายังโทษผู้อื่นอยู่ เราก็ยังไม่ยอมรับและเข้าใจในความจริงในขณะนั้นๆ
คนเราทุกคนสามารถตื่นรู้ได้หากภายในนั้นสงบ นิ่ง และว่างนานพอ การตื่นรู้ทำให้คนเราเห็นถึงความจริงของชีวิตของแต่ละคนในขณะนั้นๆ ว่าจะดำเนินชีวิตเช่นไรที่ไม่ฝืนความจริง
การที่ฉันรู้ว่าชีวิตเกิดมาด้วยภารกิจอันใดที่จะดำเนินชีวิตให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง แก่ผู้อื่น และรักษาดูแลให้ธรรมชาติคงอยู่ต่อไป ทำให้ตัวเองมีความหนักแน่น มั่นคงในสิ่งที่เราได้เลือกแล้ว ทำด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา และยอมรับด้วยความเข้าใจในผลของการกระทำของตนเอง
หากปราศจากการตื่นรู้ มนุษย์เราคงเข้าข้างตนเอง ว่าเรานั้นมีอำนาจเหนือธรรมชาติ และไม่ตระหนักรู้ในความอยากของตนเอง ทำอะไรไปตามความอยากของตนเองโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น
อุปสรรคสำคัญ และหลุมพรางที่ต้องเจอในระหว่างทางไปสู่การตื่น ก็คือ อัตตา ที่ยึดมั่นถือมั่นว่า ตัวกูเก่ง ตัวกูเจ๋ง ตัวกูแน่ กว่าคนอื่น ตัวกูทำได้ทุกอย่างที่อยากทำ
แต่กระนั้น การยึดมั่นถือมั่นนี้จะนำพาเราไปตกหลุมแห่งความล้มเหลว ความเจ็บปวดอันแสนสาหัสของชีวิต ที่ทำให้เราต้องหยุดการกระทำเดิมๆ เพื่อพักอยู่กับตนเองอย่างสงบ ด้วยความรู้สึกตัวในความเจ็บปวดความอึดอัดที่กำลังเผชิญอยู่ เท่าทันความคิด แล้วเราจะได้พบกับความสว่างภายในที่เห็น ยอมรับและเข้าใจในความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต ดังนั้น อัตตานี้เป็นอุปสรรคที่มีคุณค่ายิ่งต่อหนทางไปสู่การตื่นรู้
เมื่อคนตื่น สังคมตื่น
ฉันคิดว่าการตื่นจะทำให้คนตระหนักรู้ในตนเองว่าเราล้วนพึ่งพากันและกันยอมรับด้วยความเข้าใจว่าชีวิตเรามีผลต่อสรรพสิ่งรอบตัวเสมอ และทุกสรรพสิ่งล้วนมีคุณค่าในตนเอง เมื่อภายในของผู้ตื่นรู้สงบ รู้คุณค่าของโลกสังคมรอบตัว สังคมก็สงบไปด้วย
+ คิดว่าเรื่องนี้คนทั่วไปสามารถเข้าใจ หรือเข้าถึงได้โดยง่ายหรือยากเพียงไร และมีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมความเข้าใจหรือการเรียนรู้ของคนทั่วไปในเรื่องนี้ว่าอย่างไร
สิ่งที่จะช่วยให้ความตื่นรู้เพิ่มคุณค่าขึ้นในระดับสังคม คือการที่ไม่ทำให้เรื่องตื่นรู้เป็นเรื่องพิเศษยิ่งใหญ่ ทำให้การตื่นรู้เป็นเรื่องธรรมดา ง่ายต่อการเข้าถึง ใครๆ ก็สามารถตื่นรู้ได้ ไม่ผูกโยงเรื่องการตื่นรู้ไปยึดติดกับความเชื่อทางศาสนาใดศาสนาหนึ่ง หรือปรัชญาใดปรัชญาหนึ่ง การตื่นรู้เป็นของทุกคน ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ด้วยตนเอง
โดยสภาวะภายในของคนคนนั้นจะสงบ นิ่ง และว่างได้หรือไม่นั้น ก็อยู่ที่ว่า เขาจะยอมให้เครื่องมือไหนฝึกและฝนเขาเท่านั้นเอง
ผู้ที่จะเจริญเติบโตได้ คือผู้ที่ยอมให้คนอื่นช่วยรดน้ำพรวนดินให้จิตใจของเราไปพร้อมๆ กับเราดูแลตัวเอง
สิ่งสำคัญ คือ การเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้เข้ามาอย่างเท่าเทียมกัน การทำให้การตื่นรู้เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ ก็ทำให้คนที่ตื่นรู้ ก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าใคร
(*Minddala คือ งานเยียวยาที่ใช้ มานดาล่า เป็นเครื่องมือใช้ฝึกฝนภายในจิตใจตนเองโดยใช้องค์ความรู้พื้นฐานของมานุษยปรัชญา และผสมผสานกับจิตวิทยาวิเคราะห์ของ C. G. Jung นอกจากมานดาล่าแล้ว งานเยียวยานี้ยังมีเครื่องมือสำหรับการฝึกฝนที่สำคัญไม่น้อยกว่ากัน คือ Mindtangle ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยใช้ Zentangle ฝึกฝนภายในจิตใจที่อยู่บนพื้นฐานความรู้มานุษยปรัชญาและผสมผสานกับจิตวิทยาวิเคราะห์ของ C. G. Jung)