Search
Close this search box.

อิสรภาพที่เกิดจากความจริงแท้ คืออิสรภาพที่แท้จริง

การตื่นไม่ใช่การควบคุมความคิด ไม่ใช่การเลือกเฉพาะอารมณ์ หรือความคิดที่เราพอใจ และพยายามหยุดหรือห้ามปรามความคิดและอารมณ์ที่เราไม่ปรารถนา นั่นไม่ใช่การตื่น แต่เป็นสิ่งตรงกันข้าม คือการหวนกลับสู่ความหลับใหล”

บ๊อบบี้ ณรุส มหัคฆพงศ์ ระหว่างศึกษาที่คณะบริหารธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัว ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุ 24 ได้พบคู่ชีวิต ได้เดินทางท่องเที่ยวรอบโลก และใช้ชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่างกับภรรยา

วันหนึ่งเขาเกิดความกลัวขึ้นว่า ถึงจุดหนึ่งเขาจะต้องสูญเสียคนที่รักไป แม้จะรู้ว่ามันยังไม่เกิดขึ้น รู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ความคิด แต่ก็สลัดความกลัวนี้ออกไปไม่ได้ นานวันเข้ามันกลายเป็นความทุกข์ที่เกาะติดในใจ เขาไม่สามารถใช้ชีวิตโดยหลีกหนีจากความจริงข้อนี้ได้

บ๊อบบี้ตัดสินใจหยุดทุกอย่างเพื่อออกค้นหาวิธีการรับมือกับความจริงนี้ เริ่มจากศาสนาคริสต์ที่ตัวเองนับถือ ไปจนถึงศาสนายิว ฮินดู หรือแม้แต่ศึกษาคำสอนของศาสนาโบราณ จนถึงทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ ก่อนมาจบที่คู่มือมนุษย์ ของท่านพุทธทาส   

คำถามที่สงสัย

ตอนเป็นเด็กเติบโตมาในครอบครัวคาทอลิก มีคำถามตอนเด็กๆ อยู่เสมอว่า ความหมายของชีวิตคืออะไร คนเราเกิดมาทำไม แล้วเราล่ะ เกิดมาทำไม จำได้ว่าถ้ามีโอกาสก็จะถามคำถามนี้ ไปโบสถ์ก็ไปถามพระ ไปโรงเรียนก็ไปถามคุณครู คำตอบที่ได้มาก็หลากหลาย เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง เพียงแต่รู้สึกว่า ผู้ใหญ่ที่เค้าผ่านมาก่อน เค้าว่าอย่างนั้นเหรอ พูดกับตัวเองในใจ “จริงแฮะ แต่…. ” บางครั้งก็ “จริงเหรอ… แต่” มันจะมีแต่…ตลอด ไม่เคยได้คำตอบที่รู้สึกว่าชัดเจนแบบไร้ข้อสงสัย

ชีวิตวัยเรียนดำเนินต่อจนมาถึงวัยทำงาน คำถามนี้ไม่เคยหายไปเลย มีแต่พัฒนาความเข้มข้นขึ้น คิดไว้ในใจเสมอว่า วันหนึ่งถ้าจัดการเรื่องการสร้างชีวิตและดูแลคนรอบข้างได้เมื่อไร จะต้องมาตามหาความชัดเจนในเรื่องนี้ให้ได้ เลยตั้งหน้า ตั้งตา ตั้งใจ ตั้งเป้าหมายในชีวิตเพื่อจัดการเรื่องอาชีพการงานธุรกิจส่วนตัวให้เสร็จเร็วที่สุด

จากนั้นไม่นานชีวิตก็ได้ดั่งใจ ตอนนั้นมาถึงช่วงอายุประมาณ 24 ได้ใช้ชีวิต ได้เจอกับแฟน ได้แต่งงาน ธุรกิจไปได้ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้อีกแล้ว ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้ท่องเที่ยวรอบโลกอย่างที่ตั้งใจไว้ มีอิสระเสรีในการใช้ชีวิตตามใจตัวเอง ได้ทำหน้าที่สามี หน้าที่ลูก

จนมาถึงตอนอายุประมาณ 31 ตอนนั้นได้ย้ายไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนียกับแฟน ทั้งไปทำธุรกิจ ทั้งไปใช้ชีวิต มาถึงตอนนั้นชีวิตมีความสุขมากๆ ได้ใช้ชีวิตด้วยกันทุกวันแบบไม่ต้องห่างกันเลย รู้สึกว่าเราสองคนโชคดีจัง รู้สึกขอบคุณพระเจ้า ได้สร้างชีวิตเสร็จตั้งแต่ตอนอายุยังไม่เยอะ ได้เจอธุรกิจที่ดี เพื่อนที่ดี มีความมั่นคงในชีวิต และมีอิสระในการเป็นตัวเอง

narus_mahakaponk1

อยู่มาวันหนึ่ง เกิดความรู้สึกขึ้นมาเป็นเสียงเบาๆ ในใจที่ค่อยๆ ดังขึ้น วันนั้นได้ยินเสียงข้างในตัวเองพูดว่า “ถ้าวันหนึ่งแฟนเราตายไปล่ะ แล้วเราจะเป็นยังไง หรือถ้าเราตายไปก่อนล่ะ แล้วเค้าจะอยู่ยังไง”

โตมาก็เคยได้ยินผู้ใหญ่เค้าพูดกันว่า วันหนึ่งชีวิตก็จะมาถึงจุดนี้ จุดที่คนเรามีคู่ชีวิต แล้ววันหนึ่งก็ต้องตายจากกัน ไม่น่าเชื่อเลยว่า ชีวิตเรามาถึงวันนั้นแล้ว ความรู้สึกรุนแรงมาก ทั้งๆ ที่ความจริงยังไม่มีใครตาย

หลังจากวันนั้น ความคิดนี้ก็มาหาทุกวัน จากความรู้สึกกลัว กลายมาเป็นอารมณ์ที่หดหู่ กังวลใจมาก รู้สึกเลยว่า นี่คือความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเราที่ต้องเจอในทุกๆ วัน ใช้ทุกวิธีคิดมาช่วยพยุง ก็ยังไม่หายทุกข์ ใช้ความเชื่อ ทุกข์ก็ยังไม่หาย จึงได้คิดทบทวนดูในตอนนั้น และได้เห็นว่าทุกข์ของเราในเรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่ทำไมเราจึงรู้สึกรุนแรงขนาดนี้ แม้เข้าใจได้ด้วยวิธีคิดว่าเหตุการณ์มันยังไม่เกิดขึ้น แต่ความรู้สึกก็ยังทุกข์อยู่ดี

narus_mahakaponk2

เริ่มหาคำตอบ

จากเหตุการณ์นี้ เลยตัดสินใจที่จะหยุดทุกอย่างในชีวิต ชะลอทุกโครงการ จัดลำดับความสำคัญชีวิตใหม่ ตั้งใจค้นหาความจริง เรียนรู้ ค้นคว้าหาความเข้าใจในเรื่องนี้ เป็นการตัดสินใจที่เกิดจากเหตุที่ต้องการจะรับมือกับทุกข์ให้ได้ หรือถ้าเป็นไปได้ ต้องการที่จะไม่ต้องรู้สึกทุกข์อีกเลย ไม่ชอบความทุกข์ ต้องการเตรียมความพร้อมในการรับมือเหตุการณ์สูญเสียของชีวิต ต้องการที่จะหาความจริงของเรื่องราวทั้งหมดนี้

เริ่มจากศาสนาของตัวเองก่อน ศาสนาคริสต์ เราก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้ามันได้สูงสุดเท่านี้ ถ้าจะไปต่อมากกว่านี้มันคืออะไร ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ลึกที่สุดก็คือควอนตัมฟิสิกส์แต่มันก็ลึกที่สุดเท่านั้น ไปไกลกว่านั้นไม่ได้แล้ว 

ตอนนั้นระหว่างยังอยู่ที่อเมริกา ได้กลับมาลงคอร์สเรียนฟิสิกส์ออนไลน์ ครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการเรียนเพื่อจะเอาไปสอบ แต่เป็นการเรียนเพราะอยากรู้ว่ามันคืออะไร เพื่อที่จะรู้ว่านักวิทยาศาสตร์เขาคิดเรื่องนี้กันไปถึงไหนแล้ว มันมีคำพูดหนึ่งที่พูดว่า “ความเป็นจริงพอลงลึกไปถึงจุดหนึ่งในระดับควอนตัม มันไม่มีความเป็นตัวตน มันไม่สามารถหาอะตอมเจอ มีเพียงแต่ความว่าง” พอฟังนักวิทยาศาสตร์คุยกันมันคุ้นว่า ตอนที่เราอยู่เมืองไทย ชาวพุทธเวลาชี้ให้เห็นความจริงแท้ มักพูดถึง “อนัตตา” จำคำนี้ได้ว่าความจริงมันไม่มีตัวตน แล้วทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ไปไกลกว่านี้ไม่ได้ หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า The Fabric of The Cosmos คนเขียนคือศาสตราจารย์ Brian Greene

หนังสือเล่มนี้สรุปในเรื่องนี้ไว้ว่า นี่คือจุดสูงสุดที่วิทยาศาสตร์มาถึง จะเอามากกว่านี้ตอบไม่ได้ เขาพูดถึงจุดสูงสุดอยู่ที่ควอนตัมแมคคานิคส์ สุดท้ายหาคำตอบไม่ได้อยู่ดี ไม่มีหลักฐาน เป็นแค่ข้อสมมติฐาน เขาสรุปกลับไปแค่ว่า “สรรพสิ่งไม่มีตัวตน”

จากนั้นไม่นาน ปรึกษากันกับแฟนว่าจะอยู่ทำธุรกิจที่อเมริกาต่อ หรือกลับไปเมืองไทย เลยได้โอกาสถึงเวลากลับมาเมืองไทย

เริ่มหาคำตอบ

เริ่มต้นจริงจังต้องย้อนกลับไปปีแรกที่ได้รู้จักกับศาสนาพุทธอย่างจริงจัง ตอนเริ่มก็นึกถึงหนังสือว่าจะอ่านเล่มไหนดี ตอนเด็กๆ คุณพ่อเคยบอกว่า โตขึ้นให้ไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “คู่มือมนุษย์” เราก็เป็นคาทอลิก พ่อก็เป็นคาทอลิก แต่พ่อแนะนำหนังสือเล่มนี้ แสดงว่ามันต้องมีความสำคัญ จำได้ว่าคุณพ่อพูดตอน ม.2 เลยเริ่มจากหนังสือเล่มนั้น พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้ที่ท่านพุทธทาสปูทางไว้ให้เหมือนเป็นบันได หลังจากนั้นเราก็เดินได้อย่างถูกทาง

ความจริงที่ไม่ต้องอาศัยความเชื่อใดๆ มาพยุง

และจุดนี้เองที่ค่อยๆ เข้าใจใหม่ ค่อยๆ แก้ความเข้าใจเก่า ได้รู้จักมอง ได้รู้ว่า อะไรจริง อะไรไม่จริง จากนั้นเราจึงได้รู้จักว่าอะไรคือความทุกข์ที่ไม่จำเป็น อะไรคือทุกข์ฟรี อะไรคือสุขที่ไม่จำเป็น อะไรคือสุขฟรี และอะไรคือสุขจริง

สิ่งที่เปลี่ยนไปหลังความเข้าใจใหม่นี้ ไม่ใช่ธรรมชาติของชีวิตที่เปลี่ยนไป เหตุการณ์เหล่านี้ยังไงก็จะต้องเกิดขึ้นอยู่ดี แต่ที่เปลี่ยนไปคือ เราวางใจในตัวเราเองแล้วว่า จะไม่รู้สึกสูญเสียกับการจากไปของแฟน หรือไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียอะไรอื่นในชีวิต เข้าใจแล้วว่า อาจจะมีความรู้สึกตกใจ เสียใจ แต่จะเป็นช่วงเวลาชั่วครั้ง ชั่วครู่ ชั่วคราวเท่านั้น และนั้นเป็นเพราะความรู้สึกที่ร่างกายและจิตใจนี้ยังมีอยู่ แต่ที่มีใหม่แล้วในวันนี้คือ ความเข้าใจ ความสบายใจ ว่าไม่มีการสูญเสียใดๆ เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น เราจบที่ตัวเราเอง เป็นความสบายใจจากความจริงที่ไม่ต้องอาศัยความคิด หรือความเชื่อใดๆ มาพยุงอีกแล้ว

ที่สุดคือการค้นพบความจริง มันช่วยทลายทุกอย่าง

หากเราต้องการเพียงความสบายใจ และความรู้สึกที่ดีขึ้น ธรรมชาติก็จะให้เราตามนั้น หากเราก้าวข้ามผ่านความต้องการที่เพียงแค่จะสบายใจขึ้น เพียงแค่จะรู้สึกดีขึ้นเพียงชั่วคราว ไปสู่การค้นหาความจริง ซึ่งเป็นสิ่งอนันต์ ธรรมชาติก็จะให้ความจริงกับเรา

การที่เรารู้หรือได้ทำอะไรเพิ่มขึ้นแล้วรู้สึกดีขึ้น สิ่งนั้นไม่ใช่การตื่น แต่เป็นความหลับไหลที่สบายขึ้น ไม่แปลกที่เด็กที่ร้องไห้อยู่จะต้องการเพียงแค่ความรู้สึกดีขึ้น แต่เมื่อหายจากร้องไห้แล้ว การที่เด็กคนนั้นจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ได้ คือการก้าวข้ามผ่านเพียงการอยากได้ความสบายใจ ไปสู่ความจริงแท้ สิ่งนี้เองที่เป็นตัวชี้ว่า การตื่นรู้ที่ “แท้จริง” ต้องเกิดจากเหตุในการค้นหาความ “จริงแท้” และนี่ก็คือคำตอบที่ผมมอบให้ตัวเอง สำหรับคำถามที่ว่า “ความหมายของชีวิตคืออะไร”

ส่วนความหมายของการตื่นรู้คือ การปรับความเข้าใจในเรื่องประสบการณ์ของชีวิตมนุษย์ เพื่อให้เห็นถึงสภาพความเป็นจริงแท้ ที่เป็นธรรมชาติของทุกๆ สรรพสิ่ง เป็นการเข้าถึงความจริงแท้ในสภาพที่มาก่อนการให้ความหมาย ตีความ หรือปรุงแต่ง การตื่น อนุมานถึง ความหลับใหล และความหลับใหลในที่นี้แท้จริงก็คือ ความเข้าใจผิด ความเข้าใจที่ไม่สมบูรณ์ คลาดเคลื่อนไปจากความจริงแท้

การตื่นรู้ยังรวมไปถึงการแก้ไขประสบการณ์ในทุกด้านของชีวิตเราที่ผ่านมา ที่ยังค้างอยู่ในความทรงจำ ถูกเก็บอยู่ในรูปแบบความทุกข์ ความเคืองใจ แฝงอยู่ในนิสัย ซ่อนอยู่ในรูปแบบความคิด ปรากฎอยู่ในความเคยชินและพื้นฐานอารมณ์ ทั้งหมดของการตื่นรู้ดำเนินไปเพื่อ “อิสรภาพอันสูงสุดของมนุษย์” นั่นคือ สภาวะความเข้าใจความเป็นจริง โดยปราศจากการให้ความหมาย เงื่อนไข และการยึดถือ

ขบวนการตื่นที่เริ่มต้นขึ้นบนความหลับ

คุณค่าของการตื่น แท้จริงแล้ว เริ่มต้นตั้งแต่ก่อนขบวนการของการตื่น การที่เราใช้ชีวิตแบบปกติ หรือที่เรียกว่า “ชีวิตที่หลับใหล” มีชอบ-ไม่ชอบ มีรัก-ไม่รัก มีอยาก-ไม่อยาก มีได้ดั่งใจ-ไม่ได้ดั่งใจ ถึงแม้เราจะไม่ได้มีการปฏิบัติทางจิตหรือทางศาสนาใดๆ มาก่อน สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนำมาซึ่งสภาวะของความทุกข์ ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ความสงสัย และสิ่งเหล่านี้เอง เมื่อพอกพูนอยู่ในจิตของใครนานพอ เมื่อเงื่อนไขครบพร้อมสันดาบ เวลานั้น ความทุกข์ ความไม่รู้ ความสงสัยเหล่านี้ จะเปลี่ยนแปลงเป็นแรงขับเคลื่อนนำพาเข้าสู่ขบวนการในการค้นหาความจริงด้วยตัวของคนๆ นั้นเอง

คุณค่าแบบแรกที่สัมผัสได้ คือ การยอบรับความจริงในแบบที่ไร้ข้อต่อรอง พอใจในความเป็นจริงที่เป็นของมันอยู่แล้ว ในแบบที่เหมาะสมที่สุดและไม่อาจเปลี่ยนแปลงจากนี้ได้

คุณค่าแบบที่สอง คือ อิสรภาพที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจว่า เราเป็นคนเดียวเท่านั้นที่กำหนดความจริงสำหรับตัวเอง ไม่ใช่คนอื่นใดหรือเหตุการณ์ใดจะมีอะไรอิสระเหนือเรา และจากนี้ไปจะไม่มีใครหรืออะไรมากำหนดความรู้สึกภายในของเราได้ นอกจากตัวของเราเอง

เพราะความไม่รู้เป็นเหตุ เพราะความอยากรู้ในสิ่งที่ตนยังไม่รู้เป็นเหตุ นำมาซึ่งการได้รู้ และเมื่อรู้ถูกเรื่อง รู้จริง รู้แจ้ง รู้ทันเวลา เราจึงไม่ทุกข์โดยไม่จำเป็น เอาตัวรอดได้ทันเวลา เพราะความจริงเป็นเช่นนี้ พวกเราจึงสบายใจได้ถึงสองเรื่องในคราวเดียวกันเลย

เรื่องที่หนึ่งคือ ถึงแม้จะคิดว่าตัวเองยังไม่ตื่น ขบวนการตื่นก็ได้เริ่มขึ้นกับเราแล้ว เหลือเพียงเรารู้ตัว ตั้งใจจริง ความจริงแท้ก็รอเราอยู่ที่หน้าประตู เรื่องที่สองคือ การเข้าถึงวิชชา ต้องใช้อวิชชา เราทุกคนล้วนมีอวิชชาอยู่ในตัว เราจึงมีเงื่อนไขนี้ครบกันครึ่งหนึ่งแล้วทุกคน ก็เหมือนขบวนการได้เสร็จสิ้นไปแล้วครึ่งหนึ่ง รู้แบบนี้แล้ว ก็ย่อมเป็นกำลังใจให้เรามุ่งหน้าที่จะทำความรู้จักกับตัวเราเองภายในมากขึ้น

ปลดปล่อยตัวเอง ปลดปล่อยรูปแบบ

หากถามถึงหลุมพลางหรืออุปสรรคระหว่างทาง เพียงรู้ว่าขบวนการตื่นรู้ คือขบวนการทางธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่เรื่องของวาสนาหรือบุญ หรือพูดอีกอย่างก็คือ เพราะการเป็นมนุษย์ก็ถือว่าเป็นวาสนาและบุญที่เพียงพอแล้ว ในการที่จะได้รู้ความจริงแท้ ไม่ได้ต้องมีเงื่อนไขอะไรมากว่านั้น การหลงเชื่อความคิด หลงเชื่อจิต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วทั้งในสภาวะหลับใหล สภาวะก่อนตื่น แม้กระทั่งในขบวนการตื่น ไม่ได้ถือว่าเป็นอุปสรรคอะไร เพียงรู้ว่าการตื่น แท้จริงแล้ว คือการไม่ไปยึดถืออะไรเป็นตัวเป็นตนอีก ความคิดมันก็ยังคงมีอยู่ต่อไป

การคิดฟุ้งซ่านก็มีกันมาอย่างช้านาน อาจจะมีน้อยลง แต่ถ้ายังมีอยู่ก็ไม่แปลกอะไร ไม่ได้เป็นอุปสรรค หากเราเข้าใจและไม่ยึด ก็ให้จิตมันคิดไป จนมันคิดเสร็จ จนมันกลับมาใหม่ จนมันหายไป จนมันกลับมาในรูปแบบใหม่ จนหายไปอีก ทั้งหมดนี้คือการเข้าถึงความจริงแท้ว่า ทั้งความคิดและจิตใจไม่ใช่ตัวเรา นี่แหละคือการตื่นรู้

การตื่นไม่ใช่การควบคุมความคิด ไม่ใช่การเลือกเฉพาะอารมณ์ หรือความคิดที่เราพอใจ และพยายามหยุดหรือห้ามปรามความคิดและอารมณ์ที่เราไม่ปรารถนา นั่นไม่ใช่การตื่น แต่เป็นสิ่งตรงกันข้าม คือการหวนกลับสู่ความหลับใหล 

การมีรูปแบบ และ ความไร้รูปแบบในขบวนการตื่นเป็นของคู่กันมาแต่ช้านาน บ้างก็ว่ามีรูปแบบ บ้างก็ว่าไม่มี จะเป็นแบบไหนก็ช่าง แต่ตอนเริ่ม เราไม่รู้ทาง รูปแบบที่มีคนถ่ายถอดตกมาถึงมือเรา ถึงจุดนี้ การได้เริ่มเดินทางโดยมีรูปแบบก็ดูเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น สบายใจขึ้น ตอบสนองภาระทางจิตใจของนักเดินทางใหม่ได้ดี

ความอยากเห็นแผนที่ แล้วได้เห็นแผนที่ ก็ทำให้เราไม่ต้องกังวลกับเส้นทางในเบื้องต้น แต่การยึดติดรูปแบบมากเกินไป ก็นำมาซึ่งสภาวะการไว้ใจคนอื่นมากกว่าตัวเอง ถึงจุดหนึ่งตัวนักเดินทางย่อมรู้ได้ด้วยตัวเองว่า จุดไหนจะเริ่มปล่อยรูปแบบ และเข้าสู่ความไร้รูปแบบ เป็นเพราะท้ายที่สุดของการตื่นรู้ ก็คือการตื่นจากการยึดในทุกๆ เรื่อง และนั่นร่วมถึงการตื่นจากยึดในรูปแบบของขบวนการตื่นด้วย และนั่นคืออิสระภาพภายในอย่างแท้จริง

ตัวชี้วัดการตื่น: สำเร็จทั้งบุคคล สำเร็จทั้งสังคม

ก่อนที่การตื่นจะขยายไปถึงขั้นของสังคม การตื่นนั้นต้องเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ภายในตัวของบุคคลในสังคมนั้นๆ ก่อน หากการตื่นรู้ส่วนบุคคลจะพัฒนาไปสู่การตื่นรู้ในระดับสังคมได้ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นอย่างเป็นอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมีการวางแผนการใดๆ ทั้งสิ้น

หากเราในระดับบุคคล เพียงช่วยเหลือกันในระดับบุคคลให้ตื่นจากภายในตัวเองได้โดยสมบูรณ์ ก็เปรียบได้เหมือนแท่งเทียนที่จุดไฟติด การส่งต่อไฟจากเทียนเล่มหนึ่งสู่เทียนอีกเล่มหนึ่ง ทีละคน ทีละคน จะกลายเป็นเทียนที่มีไฟคุณภาพ เป็นไฟที่มั่นคง ส่องแสงได้จนหมดอายุไขของเทียน บุคคลส่องแสงจากภายในตัวเองพร้อมๆ กัน สังคมก็ย่อมเป็นสังคมแห่งแสงที่ตื่นรู้ไปโดยปริยาย หากการตื่นในระดับบุคคลไม่สมบูรณ์ ก็เปรียบเหมือนไฟที่ไม่สว่างพอ หรือเทียนไขที่ไส้เทียนขาดช่วง มีดับบ้าง บอดบ้าง สังคมก็ไม่อาจจะมีแรงไฟมากพอให้เห็นเป็นสังคมที่ตื่นรู้

ตั้งใจจริง และ อดใจเป็น : ตั้งใจจริง คือ ตั้งใจจริงกับตัวเองในการเป็นเทียนที่มีไฟในตัวที่แข็งแรง และ อดใจเป็น คือ อดใจในการปลุกผู้อื่นในวันที่เค้ายังไม่พร้อมตื่น อดใจเป็นในวันที่เรารู้ว่าไฟของเรายังไม่แข็งแรงพอ เมื่อวันที่ไฟเป็นไฟที่แข็งแรง เทียนพันเล่ม ล้านเล่ม ลมจะแรง อากาศจะชื้น เราก็จุดไฟให้คนอื่นได้

สิ่งที่เราใช้เป็นตัววัดในระดับการใช้ชีวิตว่า ไฟของเราเป็นไฟที่แข็งแรงหรือไม่ เพียงถามตัวเองว่า ยังทุกข์เรื่องเดิมๆ อยู่ไหม ทุกข์เรื่องใหม่ๆ เป็นทุกข์แบบใด แล้วทุกข์นานไหม มีเรื่องกวนใจบ่อยไหม ให้อภัยในความไม่รู้ของคนได้ง่ายขึ้นไหม สุขง่ายขึ้นไหม ยังรู้สึกว่าเรายังขาดอะไรอยู่ไหม ยังคิดว่าโลกยังขาดอะไรอยู่ไหม หรือเห็นแล้วว่าทุกอย่างพร้อม สมบูรณ์ในตัวมันเอง สิ่งเหล่านี้ เป็นตัววัดในเชิงการใช้ชีวิตจริง เป็นการได้รับผลของการปฏิบัติด้วยตัวเราเอง

งานของบุคคลตื่นรู้ ก็คืองานของสังคมตื่นรู้ ทั้งสองคืองานเดียวกัน
เริ่มที่สังคม ไม่สำเร็จทั้งสังคม ทั้งบุคคล
เริ่มที่บุคคล สำเร็จทั้งบุคคล สำเร็จทั้งสังคม