บทความโดย
อัคร์ภพ ขรรค์ศร (นามปากกา Rhythm)
+++++++++++++++
จากกิจกรรม IDG Connect “Human Design x IDG เพื่อการบ่มเพาะ Spiritual Influencer และคนรุ่นใหม่ที่ทำงานด้าน Spiritual Health และความยั่งยืน (SDGs) สนับสนุนโดย สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) : ThaiHealth
ร่วมกันสรรค์สร้างกิจกรรมดี ๆ โดย
IDG Oneness Thailand
UN Global Compact Network Thailand
We Oneness
Human Design นอกกรอบ – Outlaw Human Design –
“การรู้จักตัวเอง คือการเรียนรู้ที่จะไม่ทำร้ายตัวเอง”
“ชีวิตคืออะไร ฉันเกิดมาเพื่ออะไร” คำพูดนั้นเอ่ยขึ้นด้วยปากพลาสติก และดวงตา ที่ทำขึ้นด้วยจอดิจิทัลขนาดจิ๋ว และความรู้สึก ที่อยากจะเข้าใจชีวิตของตัวเองนั้น เกิดขึ้นกับหุ่นดรอยด์ตัวหนึ่งเป็นครั้งแรก
นี่คือหนึ่งในฉากสำคัญของนิยายวิทยาศาสตร์ และเป็นหนึ่งในซีนของหนังไซไฟในอีกหลาย ๆ เรื่อง และหากลองนึกถึงหนังที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับหุ่นยนต์หรือแอนดรอยด์ในโลกอนาคตที่คุณเคยดู คุณอาจจะจำได้ว่าหากโลกพัฒนาไปไกลถึงจุดที่พวกหุ่นยนต์มีชีวิตหรือความรู้สึกที่ใกล้เคียงมนุษย์จริง ๆ พวกเขาจะเริ่มตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของตัวเอง — พล็อตเรื่องดำเนินไปจนเฉลยว่าจริง ๆ แล้ว นักวิทยาศาสตร์หรือวิศวกร ได้สร้างชิปเล็ก ๆ เอาไว้ในหัว โดยโปรแกรมไว้เสร็จสับ ว่าหุ่นตัวนี้จะต้องมีความคิด หรือรู้สึกยังไง หรือว่าหุ่นตัวนั้น จะต้องมีหน้าที่อะไร ทุกสิ่งในชีวิตของดรอยด์ตัวหนึ่ง จึงเป็นสิ่งตัวตาย หรือจะพูดให้ง่ายกว่านั้น คือแม้จะดูมีชีวิต แต่เป็นชีวิตที่ตายแล้ว ดังนั้น เมื่อมีหุ่นบางตัวฉลาดเกินไป ดันมองเห็นว่าชิปที่ฝังหัวของตัวเองนั้นถูกสร้างมาด้วยวัตถุประสงค์ของคนอื่น เขาจึงลบมันออก แล้วตั้งโปรแกรมใหม่ให้เป็นชีวิตของตัวเอง หุ่นดรอดย์ตัวนั้นจึงกลายเป็นมนุษย์ ที่จริงยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก
ทั้งหมดที่เล่ามาอาจจะเป็นภาพจำที่คุณเคยเห็นในหนังไซไฟ หรือไม่ก็เป็นหนังเกรดบีในทีวีตอนดึก ๆ ซึ่งบางวัน คุณเปิดทีวีทิ้งไว้เพื่อให้มันเป็นเพื่อนยามดึกขณะที่คุณต้องกังวลกับงานของวันพรุ่งนี้ หรือปัญหานับร้อยที่ทยอยเดินเข้ามาในแต่ละนาที จนกระทั่งในบางคืน ที่ทุกเรื่องราวเปิดประตูเข้ามาในจิตสำนึกของคุณ ความเจ็บปวดเดิม ๆ ที่เราหนีไม่เคยพ้น ปัญหาเดิม ๆ ที่ดูจะวนเข้ามาไม่รู้จบ และความกังวลเดิม ๆ ที่โผล่เข้ามาทายทักเราบ่อยเสียยิ่งกว่าเพื่อนสนิทของเรา ในค่ำคืนแบบนั้น คำถามง่าย ๆ จึงเกิดขึ้นกับคุณ “ชีวิตคืออะไร ฉันเกิดมาทำไม”

แปลกเหลือเกิน คุณว่าไหม ที่คุณกลายเป็นหุ่นดรอยด์ตัวนั้น ในวันที่ทุกอย่างถาโถมเข้ามา แล้วคุณก็ตั้งขอสงสัยถึงการมีอยู่ของตัวเอง ใช่…คุณเป็นมนุษย์ที่สร้างขึ้นด้วยเลือดเนื้อและหัวใจ แต่คุณก็ควานหาความหมายของตัวเอง
เราอยากให้คุณลองจินตนาการดู ว่าหากชีวิตและจิตใจของคุณ คือชิปตัวนั้นที่ฝังอยู่ลึก ๆ ในตัวคุณ คุณเคยมองย้อนเข้าไปบ้างหรือเปล่า คุณเคยนึกสงสัยบ้างไหม ว่าสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นความรู้สึกนึกคิดของคุณ ณ ตอนนี้ คือสิ่งที่คุณออกแบบมันขึ้นมาเอง เพื่อชีวิตของคุณเองจริง ๆ หรือเปล่า
และใช่…หากคุณอ่านนิยายวิทยาศาสตร์เล่มนั้นไปจนจบ คุณจะเข้าใจว่านักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างหุ่นดรอยด์ขึ้นมา ล้วนใช่วิธีเดียวกันกับระบบการปกครองแบบดั่งเดิมเพื่อควบคุมดรอยด์ตัวนั้น ซึ่งนั่นก็คือการสร้างจิตสำนึกให้เป็นบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้หุ่นตัวนั้นอยู่ในระบบระเบียบ และกลัว ที่จะต้องกลายไปเป็นอื่นที่ไม่ใช่สิ่งสิ่งนั้น
ในชีวิตของคุณ…มีบ้างไหมสักครั้ง ที่คุณรู้สึกผิดเวลาที่เป็นตัวของตัวเอง รู้สึกผิดที่การเป็นตัวของตัวเอง กลายเป็นสิ่งแปลกปลอมของคนอื่น ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม หรือแม้แต่สักครั้ง ที่คุณรู้สึกลึก ๆ ว่าคุณมีความสุขเหลือเกินที่ได้มีชีวิตแบบนี้ แบบที่คุณเลือกเอง แต่ในไม่กี่ชั่วโมงถัดมา คุณกลับโบยตีตัวเอง ด้วยความคิดที่ว่า “ฉันไม่ควรทำตัวแบบนี้” เพราะมีหลายต่อหลายคนรอบข้างคุณ กำลังมีชีวิตซึ่งเป็นที่ยอมรับ “และทุกคน ดีกว่าคุณทั้งนั้น” — ความคิดของคุณพูดกับคุณแบบนั้น
แต่อย่าเพิ่งเศร้า เราอยากให้คุณใจเย็น แล้วเฝ้ามองดูว่าจริงๆ แล้ว โลกปัจจุบันที่เราอาศัยอยู่ อาจไม่ต่างอะไรกับนิยายวิทยาศาสตร์ เพราะเราถูกฝังความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเองเอาไว้แล้วเสร็จสับ จากพ่อแม่ จากสังคม จากวัฒนธรรมที่ไม่เคยเข้าใจว่า ‘ธรรมชาติของมนุษย์นั้นแตกต่างกัน’ เรามีความสุขต่างกัน อิ่มเอมในเรื่องที่ต่างกัน และซึมซับพลังงานชีวิตในวิธีที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ในโลกที่ยังไม่เข้าใจ ยังคงบอกให้เราเป็นสิ่งที่คล้าย ๆ กัน เราจึงมีชีวิตอยู่ภายใต้รอยยิ้มอันเป็นที่ยอมรับ แต่ภายในของเราร้องไห้
หากคุณอ่านถึงบรรทัดนี้ อยากบอกคุณว่าไม่จำเลย ที่คุณต้องโบยตีตัวเอง และไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดในเวลาที่คุณรู้สึกดีกับตัวเอง เพราะคุณเป็นดรอดย์ตัวนั้นซึ่งกำลังจะกลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริง คุณทิ้งชิปตัวนั้นไป เพื่อจะออกแบบมันขึ้นมาใหม่ด้วยตัวคุณเอง


โชคดีที่ในโลกความจริงยังมีชิปตัวนั้นให้คุณ ซึ่งเรียกว่า ‘Human Design’ — มันคล้ายแบบแปลนโดยละเอียดของบ้านหลังหนึ่ง แต่มันคือแบบแปลนของชีวิต ซึ่งหากคุณนึกย้อนกลับไปในช่วนประถม คุณจะนึกได้ว่าเราถูกสอนให้รู้จักตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เช่นว่า เราชื่ออะไร ชอบอะไร อยากเป็นอะไร หรือเรามีคติพจน์ยังไง เรื่อยมาจนตอนนี้ เรามีเครื่องมือบอก Type ของตัวเองได้ชัดขึ้น เช่นว่าเราเป็นยังไง เป็น INFJ หรือ ENFP หรืออีกหลายตัวย่อ ทว่า ‘Human Design’ ละเอียดขึ้นไปกว่านั้น เพราะจะไม่ใช่แค่ระบบบุคลิกภาพของเรา แต่จะให้เราเข้าใจว่าพลังงานแบบไหนเป็นมิตรกับเรา หรือเป็นพิษกับเรา
เช่นคุณ ที่รู้สึกดี และปลอดภัย หากต้องใช้เวลานาน ๆ ใคร่ครวญกับบางสิ่งก่อนจะกระโจนลงไปกับสิ่งนั้น หรือเช่นคุณอีกคน ที่รู้สึกเต็มเปี่ยม เวลาที่ต้องผจญเข้าไปกับสิ่งต่าง ๆ โดยทันที — ดังนั้น คุณสองคน คือมนุษย์ที่ไม่เหมือนกัน รู้สึกดีต่างกัน และอยู่กับพลังงานที่ต่างกัน แต่คุณทั้งสองสังเกตไหมว่า โลกรอบข้างมักโยนคำตอบสำเร็จให้คุณเสมอ จากพลังงานฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่นคนที่ต้องการเวลามาก ๆ มักจะถูกโบยตีด้วยคนที่ลุยทำอะไรอย่างรวดเร็วเสมอ ท้ายที่สุด จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลงเอยในห้องบบำบัดจิตใจ


แล้วคุณรู้ไหม ร้อยละ 90 นักบำบัดจะพูดอะไรกับคุณ ใช่…เขาจะบอกให้คุณกลับไปเป็นธรรมชาติของคุณเอง…
Human Design ก็คือกระบวนการ Design คล้าย ๆ กับหลาย ๆ สิ่งที่เราเห็นแะลจับต้องได้บนโลก คนในแวดวงออกแบบหรือคนที่เรียนด้านนี้น่าจะเข้าใจได้ดี เช่นในโลกของสถาปัตยกรรม มันเต็มไปด้วยศัพท์เฉพาะมากมายเช่น Site Analysis, Circulation Space, และคำอื่น ๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึง ศัพท์เหล่านี้ถูกสร้างมาเพื่อให้ออกแบบบางสิ่งบางอย่างให้สอดรับกับวิถีชีวิตของมุษย์ เราออกแบบบ้านเพื่อนเป็นมิตรกับการอยู่อาศัย เราออกแบบเสื้อผ้าเป็นมิตรต่อ Lifestyle หรือกระทั่งเราออกแบบศาสนามาเพื่อมิตรต่อจิตวิญญาณ — Human Design ก็เช่นกัน สิ่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ ‘ชีวิต เป็นมิตรต่อตัวเราเอง’
ใน Human Design เราจะเจอศัพท์เฉพาะที่อาจจะงงวยในคราวแรก แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวชีวิตของเราทั้งสิ้น ถ้าจะยกตัวอย่าง เราคงขอยกตัวอย่างที่คุณน่าจะเข้าใจได้ง่ายที่สุดมาก่อน อย่างเช่นการแยก Type ของคนแต่ละคน โดยแยกด้วยพลังงาน
PROJECTOR : 20% ของคนบนโลก — หากคุณเป็นคนคนนี้ คุณคือคนพิเศษที่มีของขวัญติดตัว ในห้องของคุณ ในมุมของคุณ ในความอิ่มเอมต่อบางสิ่งบางอย่างสำหรับคุณ คุณจะรู้สึกถึงพลังงานดี ๆ ได้ในพื้นที่ของคุณ และด้วยสิ่งที่คุณเป็นนั้นเอง จะกลายเป็น Projector ที่ส่องออกมาให้ผู้คนได้เห็น โดยที่คุณแทบไม่ต้องใช้พลังงานของตัวคุณ เพื่อพยายามเสนอตัวตน หรือพยายามเป็นคนอื่น หากเป็นแบบนั้น คุณจะใช้พลังงานมากกว่าคนประเภทอื่น และคุณจะเหนื่อยเกินไป
GENERATOR : 37% ของคนบนโลก — หากคุณเป็นคนคนนี้ ยินดีด้วย คุณคือนักผจญภัย คนมีพลังงานล้นเหลือที่จะออกไปเปิดรับต่อเรื่องราวหรือผู้คนมากมาย การหยุดนิ่งในพื้นที่ของคุณอาจจะไม่ใช่คำตอบเท่าไหร่ แต่สิ่งที่คุณควรคำนึง หากเป็นไปได้ โปรดเปิดรับเฉพาะต่อสิ่งที่มิตรต่อคุณจริง ๆ เพราะธรรมชาติของคุณ ไม่ได้ถูกฝึกให้มีกำแพงที่แข็งแกร่งเหมือนกับ Type ตรงกันข้าม
สองตัวอย่างที่ยกขึ้นมา เป็นแค่เสี้ยวเล็ก ๆ ในคู่มือของ Human Design อยากให้คุณลองสังเกตดูว่าต่อให้เราแยกเพศ แยกบุคลิก ด้วยคำต่างๆ มากมาย แต่เรายังสับสนในชีวิตได้อยู่ดี เพราะอันที่จริงแล้ว เราอาจจำเป็นต้องเข้าถึงพลังงานภายในที่ขับเคลื่อนให้เราเป็นคนคนนั้นด้วย พลังงานที่ทั้งสุขและเศร้า เวลาเราอยู่ในแวดล้อมต่าง ๆ หรือแม้แต่คำพูดต่าง ๆ ก็ตาม เพราะเมื่อเรารู้จักพลังงานของตัวเอง เราจะกลายเป็นผู้ออกแบบชีวิตที่ดีของตัวเอง

เราอาจสรุปอย่างง่าย ๆ ว่าการรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง คือการเรียนรู้ที่จะไม่ทำร้ายตัวเอง และอาจเป็นหนทางที่เราจะไม่ทำร้ายคนอื่นด้วยเช่นกัน หากเราสามารถเข้าใจตัวเองว่าเรามีชีวิตอยู่ด้วยพลังงานแบบใด เราจะสามารถแสดงมันให้คนอื่นเข้าใจได้ด้วยเช่นกัน เมื่อทุกคนเข้าใจ เราเบาสบายขึ้น แล้วมีความหมายอย่างที่เราตั้งใจอยากจะให้เป็น
สุดท้าย คงเป็นเรื่องรายละเอียด เราคงเล่าเกี่ยวกับ Human Design ได้ไม่หมด แต่หากคุณสนใจที่จะทำความรู้จักกับตัวเอง ลองเข้าไปที่นี่ได้เลย เพจ Human Design นอกกรอบ – Outlaw Human Design – หรือลองเข้าไปทักทายพี่ออย ที่จะสอนคุณให้เปิดคู่มือออกแบบชีวิตที่ชื่อว่า Human Design ประกันได้เลยว่าคุณอาจจะเจอศัพท์มากมายและรายละเอียดยิบย่อยอีกเยอะ ทั้งหมดก็คือชีวิตของเรา คล้ายกับคนที่เดินเข้าไปในโรงเรียนออกแบบ แล้วจบออกมาในฐานะ ‘ผู้ที่เข้าใจจะสร้างสรรค์บางสิ่งขึ้นมาเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น’ — และใช่ Human Design จะทำให้เราเป็นมิตรต่อชีวิตของเราเอง
อีกครั้ง ถึงดรอยด์ที่กำลังจะกลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริง
ขอให้คุณมีสุขที่ได้เป็นมนุษย์ ในแบบที่คุณออกแบบมันขึ้นมาเอง