Oneness หรือ “ความเป็นหนึ่งเดียว” นี้
สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ไม่อาจหาคำนิยามที่ครอบคลุม
ในทุกมิติได้เลย ทั้งในด้านความรู้สึกนึกคิด
ความเป็นลบบวกและค่ากลางของธรรมชาติ
พลังงานคู่ขนานในทุกมิติ ทั้งในความมีและความว่าง
อันเป็นอนันต์ ทั้งผู้รู้ สิ่งที่ถูกรู้ กลไก
และภูมิปัญญาของธรรมชาติที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทั้งใบไม้ในกำมือ ทั้งใบไมในป่าน้อยใหญ่
หลากหลายสายพันธุ์ ทั้งอดีตและอนาคต
ที่กำหนดหยั่งลงสู่ปัจจุบัน
การเข้าใจถึง Oneness จึงเป็นเรื่องเฉพาะตน
เป็นความจริงที่ถูกเรียนรู้ในโลกของแต่ละคน
และพร้อมที่จะแชร์ต่อไป เพื่อเรียนรู้ร่วมกัน
บนพื้นที่กลางอันเป็นตลาดของการแลกเปลี่ยนข้อมูล
เพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ร่วมกัน
ถึงความเป็นหนึ่งเดียวทั้งกับตนเอง ผู้อื่น และสรรพสิ่ง
ความไม่พอใจในกระแสลบ
ความพอใจในกระแสบวก
ล้วนต้องแลกด้วยราคาที่เหมาะสมกัน
กล้าที่จะวิ่งตามความไม่พอใจ
ก็ต้องกล้าเจ็บปวดจากการบีบคั้นทางใจ
และยอมรับความไม่สมดุลที่เกิดขึ้น
กล้าที่จะวิ่งตามความพอใจ
ก็ต้องกล้ารับความเจ็บปวดจากคนที่รู้สึกไม่พอใจ
และยอมรับกับความไม่สมดุลที่เกิดขึ้น
มนุษย์ คือ กาย+ใจ = ขันธ์ 5
ขันธ์ 5 คือ ระบบพลังงาน (-/+)
ระบบพลังงานอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ
ธรรมชาติยุติธรรมเสมอ
เมื่อมี “ความเป็นผู้ให้”
“ความเป็นผู้รับ” ย่อมปรากฏตัวขึ้น
เมื่อยึดเอาแต่พลังงานบวก
พลังงานลบจะเบียดเบียนอยู่เสมอ
เมื่อยึดเอาแต่พลังงานลบ
พลังงานบวกจะถูกกดทับ
เกิดเป็นวิถีแห่งการเบียดเบียนอยู่เสมอ
ระบบการรับส่งทางพลังงานเป็นความจริง
ที่เราต้องยอมรับ และทำความเข้าใจ
ผู้ที่เข้าใจ Oneness ย่อมรู้สึกตัวว่า
การวิ่งตามความพอใจและความไม่พอใจ
การเอาแต่บวกและปฏิเสธลบ
หรือเอาแต่ลบและปฏิเสธบวก
เป็นการไม่ยอมศิโรราบต่อธรรมชาติ
จิตของเขาจึงวิ่งหาความมีความเป็นไม่จบสิ้น (1)
มีอาการรังเกียจสิ่งที่มีที่เป็นที่ตนไม่ต้องการ
อยากผลักดันออกไปจากชีวิต (2)
ชีวิตจึงวิ่งไปตามความพอใจ/ไม่พอใจ
เป็นทาสในระบบพลังงาน (-/+)
ไม่สามารถเข้าถึง Oneness ได้จริง
ต้นเหตุเกิดขึ้นมาจาก
การไม่ยอมศิโรราบต่อธรรมชาตินั่นเอง
แต่ก็นะ… ธรรมชาติยุติธรรมเสมอ
แม้ข้าพเจ้าก็ต้องยอมศิโรราบต่อธรรมชาติเช่นกัน
Photo by Sylvie Tittel on Unsplash