บทนำ
หลายครั้งเราเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า:
ฉันคือใคร?
มาจากไหน?
เกิดมาเพื่ออะไร?
ความสุขอยู่ที่ไหน?
แต่ก็ยังไม่เคยได้คำตอบที่ทำให้เรารู้สึกสั่นสะเทือนจากข้างในจริงๆสักที
มาร่วมเดินทางเพื่อหาคำตอบไปพร้อมกันกับอารียา เมตายา
นิยายที่เป็นเสมือนกุญแจเปิดประตูไปสู่การค้นพบคำตอบที่แท้จริง จากภายในของคุณเอง
เนื้อหา
> มนุษย์ทุกคน มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเองอยู่ 2 ส่วน ส่วนแรก คือ “จิตสำนึก” เป็นส่วนที่ควบคุมร่างกายขณะที่รู้สึกตัวหรือยังตื่นอยู่ ไม่ว่าจะทำอะไรต้องผ่านการทำงานของจิตสำนึกทั้งสิ้น ส่วนที่สอง “จิตใต้สำนึก” หรือ “ตัวตนแก่นแท้” จิตส่วนนี้จะไม่ปรากฏตัวออกมา
ตราบใดที่เรายังใช้จิตสำนึกอยู่ และหากเราต้องการเข้าถึงองค์ความรู้ของจักรวาล เราต้องจูนคลื่นความถี่ของ “จิตสำนึก” ให้ตรงกับ “จิตใต้สำนึก” ให้ได้ก่อน จากนั้น
ค่อยตั้งคำถามเพื่อให้”จิตใต้สำนึก”เป็นสื่อกลางไปควานหาคำตอบมา
> ทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพล้วนอยู่ในรูปแบบของความสัมพัทธ์ และอยู่ภายใต้กฏของ พื้นที่และเวลา
“ความสัมพัทธ์” หมายถึง สิ่งหนึ่งจะดำรงอยู่ได้ ก็เพราะว่ามีอีกสิ่งหนึ่งดำรงอยู่เสมอ เช่น สมมุติว่าทั้งเอกภพ นี้มีแต่ความสว่าง มองไปทางไหนก็พบแต่ความสว่างทั่วไปหมด
ดังนั้นความสว่าง นั้นจะไม่เรียกว่าความสว่างอีกต่อไป เพราะว่ามันไม่มีความมืดมาเป็นตัวเปรียบเทียบ
> ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้วัฏจักรของการแปรเปลี่ยน จากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง
เกิดขึ้นหมุนเวียนเป็นวงจร “เริ่มต้น ดำรงอยู่ เปลี่ยนแปลง” สิ้นสุดและกลับมาเริ่มต้นใหม่ เช่น
การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล กลางวันกลางคืน
ดังนั้น การแปรเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งหนึ่งจะใช้เวลานานแค่ไหนขึ้นอยู่กับพลังงานที่ใช้ในการขับ เคลื่อน และระยะห่างระหว่างสิ่งนั้น
> ทุกสรรพสิ่ง มีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกัน
> สสารมีการสั่นสะเทือน
สสารที่คล้ายกันจะดูดเข้าหากัน รวมเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยคลื่นความถี่บวก
หรือคือ(คลื่นความรัก)นั่นเอง
ก่อเกิดเป็นสิ่งต่างๆ เช่น แร่ธาตุ ดิน น้ำ พืช สัตว์ มนุษย์ ฯ
> คลื่นความถี่ทั้งหมดจะถูกปล่อยออกมาจากพืช สัตว์ และโดยเฉพาะมนุษย์
ที่สามารถสร้างคลื่นความถี่ได้เข้มข้นที่สุด
ทั้งบวกและลบ ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือน ส่งผลให้ก้อนธาตุใต้ผิวโลกระเบิด
โลกจึงเกิดการหมุน
เกิดเป็นจักวาล ทางช้างเผือกและกาแลคซี่
ดังนั้น มนุษย์จึงเป็นผู้ขับเคลื่อนจักรวาล
> มนุษย์เป็นกลุ่มก้อนของพลังงาน พลังงานเกิดจากการสั่นสะเทือนจากเซลล์ภายในร่างกาย โดยจะสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่บวกหรือลบ
ขึ้นอยู่กับความคิด และคำพูดที่เรามีต่อสิ่งต่างๆเหล่านั้น โดยกฏของจักรวาลนั้นสิ่งที่เหมือนกันจะเข้าหากัน คิดอย่างไรได้อย่างนั้น
นั่นแปลว่าเราคือพระเจ้า
โลกจะเป็นในแบบที่เราคิดเสมอ
> สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากสัตว์ คือ
มนุษย์รู้จักคิด ตั้งคำถาม และชื่นชม พระเจ้าสร้างโลกใบนี้ขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์ได้ชื่นชม
ให้เราฝึกที่จะชื่นชม และเห็นคุณค่าของตัวเอง
และทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเราทั้งมีชีวิต และไม่มีชีวิต
> ทุกวันนี้มนุษย์ปล่อยคลื่นลบออกมามากเกินไปโดยไม่รู้ตัว ประกอบกับเทคโนโลยีต่างๆที่ทำลายสิ่งแวดล้อม กำลังจะทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ในอีกไม่นานนี้ ตอนนี้
คนทั้งโลกต้องร่วมใจกันผลิตคลื่นความถี่ด้านบวกออกมาให้มากที่สุด
ด้วยการ
- มอบความรักให้กันและกัน
- เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน
- สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
- ให้อภัยกัน
- ไม่ก้าวล่วงซึ่งกันและกัน
- ไม่ฆ่ากัน
- ไม่เบียดเบียนกัน
- ความรักความเมตตาจะช่วยค้ำจุนโลก
>การจะได้คลื่นความถี่ด้านบวกนั้น ต้องทำผ่านจิตสำนึกที่ทำแบบไม่มีวัตถุประสงค์อื่นใดแอบแฝง เช่น การให้สิ่งของกับใครสักคนต้องเป็นการให้ที่บริสุทธิ์ใจ ปรารถนาให้ผู้รับมีความสุข ไม่ใช่ให้เพื่อตัวเองมีความสุขหรือได้บุญขึ้นสวรรค์
>วิธีการที่ธรรมชาติทำให้เกิดคลื่นความรักขึ้นมา คือ การเกิดภัยธรรมชาติ หรือเกิดการตายของสัตว์จำนวนมาก เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเสมือนเงื่อนไขที่กระตุ้นให้มนุษย์เรียนรู้ที่จะช่วยเหลือผู้อื่นที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เริ่มให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
> ความรัก มี 4 ระดับ
ระดับที่1 มอบความรักให้คนที่ด้อยกว่าเรา เช่น ใครสักคนไปพบกับคนหรือสัตว์ที่กำลังอดอยาก หิวโหยเขาจะสามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือให้อย่างง่ายดาย เพราะเห็นว่าเขากำลังแย่กว่าเรา
ระดับที่ 2 มอบความรักให้คนที่เสมอกับเรา คนระดับนี้พบเจอได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า คนข้างบ้าน เพื่อนร่วมโลก การจะมอบความรักให้คนกลุ่มนี้ ต้องก้าวข้ามและปล่อยวางความกลัวว่าตัวเองจะเสียเปรียบให้ได้
ระดับที่ 3 มอบความรักให้คนที่เหนือกว่าเรา เช่น รักคนที่รวยกว่า เก่งกว่า มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่า ความรักระดับนี้เป็นการแสดงออกถึงความยินดีที่ผู้อื่นมีสิ่งที่ดีกว่าเรา
ระดับที่ 4 มอบความรักให้ศัตรู หรือคนที่เราเกลียด ไม่ว่าจะเกลียดชังใคร ไม่ว่าคนนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน แต่ถ้าเมื่อไหร่มีความเกลียดชังอยู่ในใจเรา นั่นเท่ากับเราได้เป็นฝ่ายของเขาไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นให้เราเปลี่ยนจากความเกลียดเป็นความรักแบบบริสุทธิ์ใจ
รักแบบไร้เงื่อนไข ให้อภัยเขาได้ทุกกรณี คนที่ทำได้ทั้งจักรวาลจะยกย่องให้เขาเป็นผู้ที่มีวิวัฒนาการ
ขั้นสูงหรือเป็นรูปธรรมขั้นสูงทันที เราจะต้องพัฒนาทักษะความรักของเราให้กลายเป็นความรักระดับ 4 ให้ได้ตลอดเวลาเพื่อให้เราอยู่รอดได้ในยุคที่สนามแม่เหล็กโลกกำลังจากเปลี่ยนแปลงไป
> ความรัก ถ้าคิดด้านบวกจะเป็นการให้ การแบ่งปัน ความสุข หรือความอิ่มเอมใจที่เห็นคนที่เรารักมีความสุขแต่ถ้าคิดเป็นด้านลบหรือด้วยความกลัวก็จะกลายเป็น ความหวง ความไม่แบ่งปัน การครอบครองเป็นเจ้าของคนเดียว ความต้องการเก็บไว้คนเดียวคือแนวคิดเรื่องการแบ่งแยก เมื่อเกิดความรู้สึกแบ่งแยกตัวเองจากคนอื่นๆ เลยทำให้รู้สึกอ้างว้างโดดเดียว
> คุณสมบัติของรูปธรรมชั้นสูง สั่นสะเทือนความรักระดับ 4 ตลอดเวลา รู้จักการตั้งคำถามและหาคำตอบด้วยตัวเอง โดยส่งกระแสความคิดออกไปเพื่อหาคำตอบในจักรวาล
> วิธีการตรวจสอบว่าเราสามารถเป็นรูปธรรมชั้นสูงแล้วหรือยัง เมื่อเจอสถานการณ์ที่ทำให้ไม่พอใจ
ลำดับชั้นที่1 ตอบสนองต่อความโกรธ ทันทีด้วยการแสดงออกทางกายภาพ เช่น ลงมือทำร้ายคนที่ทำให้โกรธ หรือต่อว่าด่าทอ ซึ่งเป็นการแสดงออกทางกายภาพ ทั้งสองได้ปล่อยพลังลบออกสู่โลกไปแล้ว ผลที่ตามมาคือ ทั้งคู่ไม่พอใจต่อกัน ผูกใจเจ็บเกิดการเกี่ยวกรรม อนาคตต้องมาเจอกันอีกเพื่อแก้ไขบทเรียนนี้
ลำดับชั้นที่ 2 มีความโกรธอยู่ แต่ไม่แสดงออกทางกายภาพ แบบนี้ยังถือว่าปล่อยพลังงานลบออกไป
และนับว่าเป็นการเกี่ยวกรรมทางพลังงาน หรือ มโนกรรม
ลำดับชั้นที่ 3 มีความโกรธ ไม่แสดงออก แล้วให้อภัยได้ ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับทักษะของแต่ละคน แม้ว่าจะให้อภัยได้แล้วแต่ก็ยังเกิดการเกี่ยวกรรมแล้วต้องกลับมาเจอสถานการณ์เดิมซ้ำอยู่ดี เพราะพลังงานลบได้ถูกส่งออกไปแล้ว
รูปธรรมชั้นสูงต้องทำลำดับชั้นที่4 เท่านั้น คือจะต้องไม่มีการปล่อยคลื่นลบใดๆออกไปเลยตั้งแต่แรก
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้โกรธมากแค่ไหน นอกจากเขาจะไม่ปลดปล่อยความชังออกมาแล้วเขายังต้องปล่อยคลื่นความรักออกมาให้ได้อีกด้วย
> ที่สุดของที่สุดคือเราสามารถแสดง”ความรัก”ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติด้วยจิตสำนึกรักที่บริสุทธิ์จริงๆ
บริสุทธิ์ทั้งก่อนและหลังของกระบวนการ(ทำ)ตรงจุดนี้
-“ก่อน”คือการใช้จิตสำนึกรักอย่างบริสุทธิ์ใจเพื่อขับเคลื่อนการกระทำของเราโดยไม่มีสิ่งใดแอบแฝงหรือหวังสิ่งใดตอบแทน มันเป็นการกระทำด้วยความ(รู้)ว่าสิ่งนั้นดีจึงตัดสินใจทำ
-“หลัง”คือการกำจัดให้สิ้น ชำระให้สิ้น ไม่เหลือผลกรรมใดๆในทุกห้วงเวลา
เช่นในวินาทีที่เราตัดสินใจให้อภัยคนที่มาเอาเปรียบเรา
รวมทั้งมอบความรักความปรารถนาดีอย่างจริงใจกับเขาไปนั้น
ผลที่ได้ในปัจจุบันคือเราไม่ได้สร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่เขาคนนั้น
และยังไม่ได้สร้างความผูกอาฆาตพยาบาทที่จะมีต่อกันจนทำให้ต้องเกี่ยวกรรมเพื่อไปเกิดร่วมกันในอนาคตอีกและในขณะเดียวกันเราก็ได้แก้ไขพันธสัญญาเก่าที่เคยมีต่อกันในอดีตด้วย สรุปคือ การกระทำเพียงครั้งเดียวสร้างความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นทั้ง 3 โลก คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต
> ความวิตกกังวลหรือความกลัวครอบงำจิตใจเราตั้งแต่สิ่งที่เล็กน้อยที่สุดคือเรื่องการกิน
ทั้งที่อาหารมีอยู่อย่างเหลือเฟือเพียงพอสำหรับทุกๆคนในโลก
พวกเราใช้ความกลัวขับเคลื่อนทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการมีชีวิตคู่ การทำงาน การศึกษา การปกครอง
แม้กระทั่งเรื่องที่ควรจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักนั่นคือเรื่องศาสนา
> ทำอย่างไรเราถึงจะไม่มีความกลัว
-“ความรู้”ทำให้เรา”รู้”ให้ได้
ถ้ารู้จริงความกลัวจะหายไปเอง
-“ความวางใจ”ต้องมีส่วนผสมของความรักเสมอ
> ศาสดาทุกพระองค์ล้วนใช้”ความรัก”และ”ความรู้”ทั้งสิ้น
การเข้าถึงการรู้มี 2 วิธี
– รู้จากภายนอกคือรู้จากสิ่งที่ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส การรู้นี้ไม่สามารถทำให้เราเข้าถึงการรู้ที่แท้จริงได้
เพราะมันมีข้อจำกัดมากมาย
– รู้จักภายในด้วยการ”ถ่อมใจ” ไม่ใช่แค่”ถ่อมใจ”กับคนอื่นๆเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการ”ถ่อมใจ”ต่อตัวตนที่ศักดิ์สิทธิ์ของเรา ในตัวเราทุกคนยังมีใครอีกคนที่เป็นตัวตนที่สูงส่งอาศัยอยู่
> จุดเริ่มต้นของความรัก คือ รักตัวเองโดยให้กลับเข้ามาเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณที่สูงส่งที่อยู่ภายในตัวเรา
ปล่อยวางตัวตน (จิตสำนึก) เริ่มรับฟังเสียงจากภายใน (จิตใต้สำนึก)
วิธีเชื่อมต่อคือ การปรับจูนให้จิตสำนึกเป็นคลื่นเดียวกับจิตใต้สำนึกคือการหายใจลึกยาว “ฉันขอมอบความรักให้กับตัวตนที่สูงส่งของฉัน”
> ประโยชน์ของการเชื่อมต่อกับจิตใต้สำนึกได้ คือเราสามารถตั้งคำถามเพื่อให้คุรุภายในจิตใต้สำนึกค้นหาคำตอบจากจักรวาลมาให้ เราจะได้คำตอบที่บริสุทธ์แท้อย่างจริงก็ต่อเมื่อถามโดยต้องวางความคิด และอัตตาลงก่อนเสมอ
> การฟังดนตรีและดูงานศิลปะ เป็นการให้อาหารและความสงบสุขกับจิตใต้สำนึก
> มนุษย์ทั่วไปที่ยังหลับอยู่ จะแสดงออกและตอบโต้กับเหตุการณ์ต่างๆเป็นอัตโนมัติ (ไม่รู้ตัว ว่าตัวเองถูกขับเคลื่อนมาจากการตัดสิน และตีความสถานะการณ์ต่างๆจากประสบการณ์ในอดีตของตน) ส่วนคนที่เริ่มรู้ตัวก็จะเห็นว่าตัวเองมีความคิดลบเกิดขึ้นจึงเกิดความไม่ชอบและไม่อยากให้เกิดอารมณ์หรือความคิดนั้น ก็ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในจิตใจซ้อนทับเข้าไป การที่จะหลุดออกมาได้ คือ การยอมรับว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับเรา แล้วสำรวจว่าอะไรเป็นต้นเหตุ ทุกอารมณ์ลบที่เกิดขึ้น ลึกๆแล้วเกิดมาจากการที่เรากำลังกลัวอะไรบ้างอย่างอยู่ จึงแสดงปฏิกิริยาบางอย่างออกไปเพื่อปกป้องตัวเอง ไม่เพียงแค่เราที่เคยถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัว คนอื่นๆก็ถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัวเช่นเดียวกัน เมื่อเราเห็นเช่นนี้แล้วเราก็จะให้อภัยได้เป็นอัตโนมัติ และเป็นอิสระจากความกลัวที่เคยครอบงำเรามานานแสนนาน เมื่อเราเป็นอิสระแล้วให้ทุกการกระทำของเราต่อจากนี้ขับเคลื่อนใหม่ด้วยพลังของความรัก
> ความกลัวเมื่อถูกผสมกับความคิดด้านลบ จะกลายเป็นความเชื่อที่มีต่อความปรารถนาของเขา เช่น “เป็นไปไม่ได้หรอก” “ยากเกินไป” “ฉันไม่มีทางทำได้” “คนเก่งกว่ายังทำไม่ได้เลย” คำเหล่านี้กลายเป็นกำแพงที่ทำให้เขาล้มเลิกความตั้งใจและเปลี่ยนไปเลือกทางอื่นแทน วิธีที่จะทำลายกำแพงนี้คือ เปลี่ยนจากความกลัวเป็นความรัก ความเชื่อจะเปลี่ยนไป เช่น “มันท้าทาย” “มันน่าตื่นเต้น” “ฉันทำได้” เมื่อปราศจากความกลัว และอยู่ในสภาวะที่เบิกบานเต็มเปี่ยมด้วยความรัก เมื่อนั้นเราจะสามารถเข้าถึงความรู้ทางจิตแล้ว ช่องทางและวิธีการต่างๆที่จะทำให้ความปรารถนาสำเร็จจะปรากฏขึ้น
> วิธีคิดแบบไม่แบ่งแยก การที่เรามองว่าสิ่งปฏิกูลเป็นของสกปรกจะต้องกำจัด มันจึงเกิดกระบวนการทำความสะอาด แต่ถ้าเราไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งสกปรก มันก็ยังเป็นประโยชน์ต่อสิ่งอื่นๆได้อีก เช่น เรื่องการขับถ่าย
> ทำไมต้องขับเคลื่อนใหม่ด้วยพลังของความรัก เพราะว่าทุกดวงจิตบนโลกมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน โดยดวงจิตของแต่ละกลุ่มสัญญาว่าจะมาทำภารกิจเป็นแหล่งพลังงานบวก(ความรัก)ให้กับโลกพร้อมกัน แต่พอมาเกิดใหม่ที่โลก กลับลืมที่เคยตกลงกันไว้ แล้วใช้ชีวิตด้วยจิตสำนึกเพียงอย่างเดียว ทำให้ไม่มีรู้ว่าแท้จริงแล้วเราเกิดมาที่โลกทำไมรู้สึกโดยเดี่ยว และแปลกแยก ดังนั้นกลุ่มดวงจิตที่เคยสัญญากันไว้ก่อนมา จึงพยายามสื่อสารผ่านจิตใต้สำนึกมากับความฝัน เหตุการณ์ต่างๆ รวมถึงคำถามที่เรามักถามกับตัวเองว่า:
เราคือใคร เกิดมาทำไม ก็มาจากพวกเรา เพื่อเตือนให้เราน้อมจิตสำนึกและวางตัวตนลง แล้วกลับมาเชื่อมต่อกับจิตใต้สำนึก เมื่อเราเชื่อมต่อได้แล้วเราจะเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างเข้าถึงความจริงทุกอย่างไร้ขีดจำกัด ค้นพบศักยภาพที่แท้จริงภายใน
>สำหรับดวงจิตที่ตื่นแล้วจะสามารถสื่อสารกับรูปธรรมชั้นสูงที่โลกคู่ขนาน (ดาวทึงร่า)ได้ ด้วยภาษาจิต โดยจะสื่อสารกันผ่านภาพเหตุการณ์ และความรู้สึก ที่ดาวทึงร่า เป็นที่ที่ทุกดวงจิตอาศัยอยู่ด้วยกันด้วยความรักระดับ 4 ตลอดเวลาและรู้สึกถึงความเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกันกับทุกคน มีธรรมชาติและผักผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์ให้กินได้อย่างไร้ขีดจำกัด ทุกคนไม่ได้ทำงานเพื่อตัวเอง แต่ทำเพราะรักที่จะทำ และสิ่งที่เขาทำนั้นให้ประโยชน์กับผู้อื่น ที่นั่นไม่มีการซื้อขายแต่เป็นการให้ ให้สิ่งที่เขาทำนี้กับคนที่ต้องการมัน โรงเรียนที่นั้นไม่ได้สอนความรู้แต่สอนวิธีการเข้าถึงแหล่งความรู้ด้วยตนเอง
คนที่นั่นบริโภคผัก ผลไม้ และธัญพืชเท่านั้น ทำให้พวกเขามีร่างกายที่ดูหนุ่มสาวตลอดและอายุยืนหลายหมื่นปีที่นั้น และเขาอยู่เพื่อรอดวงจิตกลุ่มเดียวกันที่ยังอยู่บนโลกให้ตื่นขึ้น แล้วกลับไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง เพื่อเดินทางกลับไปยังที่ที่เขาจากมาพร้อมกัน
> ภาษาจิตเป็นภาษาสากล เป็นภาษาที่ใช้กันทั้งจักรวาล ภาษาที่มีศักยภาพในการสื่อสารด้อยที่สุด คือภาษาที่ต้องใช้การเปล่งเสียงออกมาจากลำคอ เพราะเราอาจจะสื่อสารออกไปไม่ตรงกับความเป็นจริง รวมถึงความสามารถในการได้ยินของอีกฝ่าย และความแตกต่างกันของภาษา ซึ่งปัญหาต่างๆเกือบ 90% เกิดจากการสื่อสาร
> การเรียนภาษาจิต ต้องมีความพร้อม 3 ประการ
1.ความพร้อมทางกาย จะต้องหายใจลึกและยาวตอดเวลา
เพราะมันจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ก็จะส่งผลต่อสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีอยู่ในตัวเรา
หากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในตัวเราแข็งแรง สิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติคือความแข็งแรงของพลังจิต
และนี่คือ (ประการที่ 2) อันเป็นผลจากการฝึกหายใจ (1)
3.ความพร้อมด้านอารมณ์=ความพร้อมของเครื่องรับ
เรามักใช้”อารมณ์”หรือ”ความรู้สึก”ของตัวเองไปบดบังสารที่คนรอบข้างส่งมา
> ถาม. จะจัดการมันได้อย่างไร?
-“ต้องหยุดกระบวนการนี้ตั้งแต่วินาทีแรกของการรับรู้
อย่าให้มันเกิดกระบวนการถัดไป
หยุดอยู่แค่การรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรไม่ปรุงต่อ
ด้วยการพยายามกำหนดรู้จากทักษะการหายใจที่ลึกและยาวให้ทัน
> การตื่นรู้ คือความเข้าใจ ความเป็นจริงตามธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งมีคำถามว่า:ถ้าเราเป็นฝ่ายถูกรุกราน
หากเราไม่ฆ่าเขา เขาก็จะมาฆ่าเรา
แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ
“รักเขาสิ ถ้าเรารักเขาด้วยหัวใจบริสุทธิ์.
เราจะมีการปฏิบัติต่อเขาไม่เหมือนกับที่เราเคยทำมาอย่างแน่นอน”ด้วยวิธีนี้เราถึงเป็นผู้มีชัยชนะที่แท้จริง
ถ้าโชคดีเขาจะ”ตื่น”เพราะมันคือการทำให้เขากลับใจ
>”ความบริสุทธิ์ที่แท้จริงคือ”จิตวิญญาณของเราจะต้องเผชิญกับเงื่อนไขและสามารถจัดการกับเงื่อนไขนั้นๆได้
โดยปราศจากอนุภาคกรรมใดๆ”
> “การทำ”การออกไปเผชิญกับบทเรียน. บททดสอบว่า:
เราจะสามารถแสดงความรักต่อใครๆในโลกนี้ได้มากแค่ไหน
เมื่อเราทำสิ่งใดโดยไม่เกิดความผิดพลาด ไม่เผลอไปก้าวล่วงผู้ใด
เราก็มีโอกาสที่จะปลดเปลื้องพันธนาการแห่งกรรมได้
ท้ายที่สุดจิตวิญญาณของเราก็จะเป็น”อิสระ”
> ความสุขที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการ
ได้มี. ได้ทำ ได้เป็น. แต่มันเกิดจากใจที่สงบแบบที่ไม่มีเงื่อนไขหรือสถานการณ์ใดๆสามารถทำให้เราเปลี่ยนแปลงความเป็นตัวเราที่เข้าถึงความรักอันสูงสุดได้ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ที่ร้ายกาจเพียงใด
จิตใจของเราก็ไม่มีทางสั่นสะเทือนเป็นอย่างอื่นโดยเด็ดขาด
> เรามักเผชิญกับคน 2 ประเภทคือ
1).คนที่พร้อมจะเข้าใจสัจธรรมในทันทีอย่างง่ายดาย
2).คนที่พร้อมจะฆ่าเราได้ทุกเมื่อหากเขาไม่สบอารมณ์กับเรา
วิธีเอาตัวรอดจากคนประเภทที่2นี้
-การยอมทุกอย่างแบบไร้เงื่อนไข
-ยอมแบบไม่ต้องสนใจเรื่องความถูกผิดของฝ่ายใด
-ยอมแบบไม่ต้องคำนึงถึงความยุติธรรมหรือความได้เปรียบเสียเปรียบ
-ยอมตั้งแต่แรกเริ่มของการมีปฏิสัมพันธ์กับเขาคนนั้น เราอาจจะช่วยให้เขาตื่นได้เพราะเขาจะไม่เคยชินกับ การแสดงออกซึ่ง”ความรัก”ด้วยการ”ยอม”
เขาอาจจะไม่เคยได้รับประสบการณ์ ที่เปี่ยมด้วยความรักอย่างนี้มาก่อนก็ได้ และเมื่อเขาได้สัมผัสเขาจะเกิดความฉงนในช่วงแรก และเมื่อได้สติเขาจะกลับมาคิดทบทวนว่ามันคืออะไร จนท้ายที่สุดประสบการณ์แห่งความรักที่เรามอบให้กับเขานั่นแหละที่จะเป็นตัวเปรียบเทียบกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่ ถ้าโชคดีเขาก็จะ”ตื่น”
สรุป
มนุษย์ทุกคนคือพลังงานหลักที่ขับเคลื่อนโลกและจักรวาล ที่มีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกัน มีภารกิจมาเกิดที่โลกเพื่อทำภารกิจร่วมกัน แต่ทุกดวงจิตที่มาเกิดกลับหลับใหลอยู่ แล้วปล่อยให้จิตสำนึกทำหน้าที่ไปขับเคลื่อนชีวิตไป จิตสำนึกนี้เองทำให้มีตัวตนขึ้นมา ตัวตนที่ถูกสร้างจากประสบการณ์ในอดีตและใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความกลัวตลอดเวลา ทำให้เกิดพลังงานลบขึ้นมากมาย โลกกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ดังนั้นเพื่อช่วยโลกและเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากภัยครั้งนี้ เราทุกคนต้องเริ่มต้นที่ตัวเองเข้าถึงและเชื่อมต่อกับจิตเดิมแท้ให้ได้ ปล่อยคลื่นความรักให้ได้ตลอดเวลา และช่วยกันปลุกเพื่อนที่ยังหลับอยู่ให้ตื่นขึ้น แล้วเรามาสร้างโลกใหม่ไปพร้อมกัน โลกที่มีแต่ความรัก ความอุดมสมบูรณ์ การแบ่งปัน เบิกบาน ความสุขสงบบนผืนแผ่นดินเดียวกัน
Key Point
> รักและเข้าใจธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ปราศจากการตัดสิน
> ชื่นชม เห็นคุณค่า และ ขอบคุณ ทุกสรรพสิ่ง
> หายใจลึกยาว ทำให้จิตสำนึกเป็นคลื่นเดียวกับจิตใต้สำนึก
> แสดงออกความรักระดับ 4
> โลกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับความคิด และความเชื่อ ที่เรามีต่อตัวเอง
> มนุษย์เป็นพลังงาน ที่ดึงดูดสิ่งที่ตัวเองให้ความสนใจ
> ก่อนที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้ถามตัวเองว่าทำด้วยความรัก หรือความกลัว
> ความกลัวเกิดจากความไม่รู้
> ตั้งคำถาม แล้วค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง
> บริโภคพืช ผัก ผลไม้
> ทำงานที่ตัวเองรักและเป็นประโยชน์กับผู้อื่น
> ทุกสรรพสิ่งมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน ปราศจากการแบ่งแยก
Workshop
> ระหว่างวันทันทีที่นึกได้ให้หายใจลึกยาว
> ทุกวันให้มีเวลาได้อยู่กับธรรมชาติอย่างน้อย 15 นาที
> ชื่นชม เห็นคุณค่า และขอบคุณตัวเอง และทุกสรรพสิ่งทั้งมีชีวิต และไม่มีชีวิต
> ตอนเช้า จินตนาการถึงสิ่งดีๆที่ต้องการให้เกิดขึ้นวันนี้ และตั้งใจที่จะเป็นความรักระดับ 4
> ตอนเย็นทบทวนว่าวันนี้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ยอมรับ และให้อภัยตัวเอง
ข้าพเจ้าขอรำลึกและมอบความรักอันแสนบริสุทธิ์แด่ตัวตนที่สูงส่งที่เร้นอยู่ในกาย และขอมอบความรักนี้แด่ทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาล
ท่านที่ประสงค์จะสั่งซื้อซื้อหนังสือ “อารียา เมตายา” สามารถแจ้งจำนวนและที่อยู่จัดส่งมาที่ Inbox ของเพจ หนังสือ Areeya Metaya