หากเปรียบเส้นทางชีวิตเหมือนการวิ่งมาราธอน กว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทางหรือเข้าเส้นชัยนั้น ต้องฝ่าฝันอุปสรรคมากมายระหว่างทาง และหลายครั้งเราก็หมดเรี่ยวแรงจนอยากถอดใจกลางคัน แต่โชคดีที่เรายังมีพลังแฝงไว้ใช้ยามคับขันหรือยามวิกฤติ หากเราปลุกพลังแฝงขึ้นมา ไฟในกายของเราจะลุกโชนขึ้นอีกครั้ง จากที่เคยรู้สึกว่าหมดไฟไปแล้ว เราจะรู้สึกตื่นตัว กลับมามีเรี่ยวมีแรง และพร้อมจะเดินทางต่อ
แต่หลายครั้งพลังแฝงก็ถูกปลุกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ก่อให้เกิดอารมณ์ปั่นป่วน และสร้างความน่าสะพรึงกลัวแก่เรา หรือถึงขั้นเขย่าขวัญเราให้สติแตก พลังแฝงที่ระเบิดออกมานั้น เกิดจากการตกค้างของพลังงานรุนแรงที่สะสมไว้ในร่างกายเกินขนาด พลังงานรุนแรงที่ว่านี้อาจถูกถ่ายเทมาจากสิ่งแวดล้อมหรือผู้คน หรืออาจเป็นพลังงานของเราเองที่แปรสภาพภายใต้สภาวะกลัวและสงสัย
โยคะศาสตร์กล่าวถึงพลังแฝงชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกายรับมาจากผืนโลกผ่านจักระฐานราก (ศูนย์พลังงานที่ควบคุมเรื่องความอยู่รอด) และเรียกพลังแฝงนี้ว่า พลังกุณฑาลินี หรือ พลังงูใหญ่ ดังที่วรรณกรรมอินเดียพรรณนาเปรียบเปรยไว้ว่า
พลังกุณฑาลินีเป็นพลังที่มีลักษณะเหมือนงูใหญ่ นอนหลับขดอยู่บริเวณปลายสุดของกระดูกสันหลัง ซึ่งเปรียบเหมือนบัลลังก์ของพระนางกุณฑาลิณีมเหสีพระวิษณุ ส่วนกลางกระหม่อมเปรียบเหมือนวิมานพระวิษณุ และรัศมีอันเรืองรองของพระวิษณุจะปลุกเร้าให้พระนางกุณฑาลิณีขึ้นไปสถิตด้วย
เมื่อพลังกุณฑาลินีถูกปลุก พลังจะพุ่งขึ้นมาจากจักระฐานรากบริเวณปลายสุดของกระดูกสันหลัง แล้วเคลื่อนผ่านจักระต่างๆ ตามแนวกระดูกสันหลังขึ้นไปถึงจักระกลางกระหม่อม เมื่อนั้นร่างกายจะตื่นตัวและปลดปล่อยความตึงเครียดที่ฝังแน่นอยู่ตามกล้ามเนื้อและทุกอณูเซลล์ ทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะสมดุลอีกครั้ง แต่หากร่างกายมีพลังงานรุนแรงตกค้างหรือสะสมความเจ็บปวดฝังใจไว้มาก มันก็จะถูกปลดปล่อยออกมาด้วย และก่อให้เกิดอารมณ์ปั่นป่วนรุนแรงจนเกินรับไหว
โยคะศาสตร์จึงแนะนำให้ปลุกพลังกุณฑาลินีผ่านการเปิดจักระดวงตาที่สาม เพื่อทำให้จิตบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น และเข้าถึงจิตเดิมแท้หรือเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ในระดับที่รับมือกับอารมณ์ปั่นป่วนรุนแรงได้อย่างปลอดภัย เพราะจักระดวงตาที่สามบริเวณระหว่างคิ้วนั้น เป็นจุดเชื่อมต่อกับจิตเดิมแท้ที่สถิตอยู่ภายใน และยังเป็นจุดบรรจบของช่องพลังงานทั้ง 3 ที่พุ่งขึ้นมาจากจักระฐานราก
นอกจากการปลุกพลังกุณฑาลินีตามหลักโยคะศาสตร์แล้ว เรายังสามารถปลุกพลังแฝงด้วยวิธีอื่นได้เช่นกัน ขอแค่เราสามารถรวบรวมพลังจักรวาลผ่านการหายใจลึกๆ ช้าๆ และเปิดประสาทสัมผัสทั้งหมดรับรู้พลังงานที่เกิดขึ้นในร่างกายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแรงสั่นสะเทือนและความร้อน เพียงแค่นั้นพลังแฝงก็จะถูกปลุกอย่างปลอดภัย แล้วเราจะรู้สึกตื่นตัวมีชีวิตชีวา แต่ถ้าพลังงานรุนแรงและความเจ็บปวดฝังใจเกิดระเบิดออกมาด้วย เราก็จะรับมือได้อย่างไม่ตื่นตระหนก
และยิ่งเรารับมือกับพลังงานรุนแรงได้บ่อยแค่ไหน เราจะยิ่งเกิดความไว้วางใจต่อพลวัตของพลังงาน นั่นคือพลังงานมีการถ่ายเทและแปรสภาพได้ และภายใต้สภาวะไว้วางใจนี้เอง เราจะสามารถแปรสภาพพลังงานรุนแรงให้เป็นพลังที่มีชีวิตชีวาและสร้างสรรค์ ซึ่งนำไปใช้ขับเคลื่อนภารกิจยิ่งใหญ่ได้
Photo by Jan Kopřiva on Unsplash