ความจริง, ความดี และความงามคือ ‘สิ่งนั้น’ ที่มิใช่ส่วนเสี้ยว
ถ้าเราแสวงหาแต่ ‘ความจริง’ โดยละเลยความดีและความงาม เราคงมิอาจเข้าถึง ‘สิ่งนั้น’ โดยสมบูรณ์ได้จริง
ถ้าเราผูกขาด ‘ความดี’ ไว้กับตัวเราเอง มันคงไม่ดีจริง และย่อมไม่ใช่สิ่งนั้นจริง
ถ้าเราหมกมุ่นอยู่กับ ‘ความงาม’ อย่างคลั่งไคล้ เราคงไม่สามารถโอบกอดความอัปลักษณ์ทั้งปวงเอาไว้ได้ดังนั้นตัวเราย่อมยังไม่อาจเป็นตัวความงามนั้นได้
มิใช่แสวงหาความจริง มิใช่อวดโอ่ความดี และมิใช่กระหายความงามอย่างมืดบอด
… แต่เราคือความจริง คือความดี และคือความงามอย่างทั้งหมดทั้งสิ้นต่างหาก
ถ้าเราได้พัฒนาตัวตนของเราไปจนสุดทางแล้วในชีวิตนี้
ความจริงสูงสุดก็ดี ความดีสูงสุดก็ดี ความงามสูงสุดก็ดี พบได้ที่ไหนหนอ?
ย่อมพบได้ที่ใจของเราเอง เพราะมันไม่เคยดำรงอยู่นอกใจของเราเลย
ขอเพียงแต่ เรามี ‘สิ่งนั้น’ เป็นครูหรือเป็นคุรุโยคะของเราได้
โดยหายใจเข้าหายใจออกเป็น ‘สิ่งนั้น’
ยินยอมมอบตัวตนให้แก่ ‘สิ่งนั้น’
พื้นที่ในหัวใจของเราทั้งหมด มอบถวายให้แก่ ‘สิ่งนั้น’ อย่างหมดใจ
มีแต่บุคคลประเภทนี้เท่านั้น ที่ ‘สิ่งนั้น’ จักปรากฏและสำแดงออก
ทางความคิด ทางวาจา และทางกระทำผ่านตัวผู้นั้นโดยสิ้นเชิง
เขาคือแสงสว่าง เขาเป็นแสงสว่าง และเขาให้แสงสว่างอยู่เสมอ
เพราะนั่นคือธรรมชาติของเขาที่เป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งนั้นไปแล้วนั่นเอง
สุวินัย ภรณวลัย
27 ธันวาคม 2019
จากบทเกริ่นนำในหนังสือแสงหนึ่งเดียวกัน

