ถึงพลังชีวิต
โลกนี้ก็น่าอยู่
โลกจะน่าอยู่หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเรามองชีวิตอย่างไร หากเรามองด้วยความไว้วางใจ โลกก็จะน่าอยู่มากขึ้น แต่เมื่อความระแวงสงสัยปกคลุมโลกนี้มากขึ้น เราจึงมีแนวโน้มที่จะมองสิ่งต่างๆ แบบแยกส่วน คิดวิเคราะห์ตัดสินหาข้อสรุปให้กับสิ่งต่างๆ แทนการมองอะไรแบบเชื่อมโยงกันในหลายๆ มิติ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความไว้วางใจได้ง่ายกว่า
เปรียบเหมือนการดูละครสักเรื่องหนึ่ง ถ้าเราได้ดูตั้งแต่ต้นจนจบ เราจะเห็นความเชื่อมโยงกันของเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งดีและร้าย เห็นความเป็นมาหรือภูมิหลังของตัวละคร ที่ส่งผลให้แสดงออกด้านดีหรือร้ายก็ได้ เห็นตอนจบที่เปิดเผยความจริงที่เราไม่เคยล่วงรู้มาก่อน แต่ถ้าเราได้ดูแค่บางตอน เราอาจตีความเหตุการณ์หรือตัวละครแค่ด้านเดียว เหมือนเวลาที่เราด่วนตัดสินเหตุการณ์ในชีวิตแค่บางช่วงบางตอน และปักใจเชื่อว่านั่นคือชีวิตทั้งหมดของเรา
การฝึกมองชีวิตแบบเชื่อมโยงกัน ช่วยให้เราไว้วางใจภาพรวมของชีวิต และเห็นโลกน่าอยู่มากขึ้น ยิ่งฝึกบ่อยๆ ก็ยิ่งเห็นผล ลดโอกาสในการกลับมามองแบบแยกส่วนอีก แต่หากบรรยากาศรอบตัวมีความระแวงสงสัยปกคลุมหนาทึบ การฝึกก็ย่อมยากกว่า ดังนั้นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เรา ไว้วางใจภาพรวมของชีวิตและมีความหวังกำลังใจ ก็คือการรู้สึกถึงพลังชีวิต และสัมผัสได้ถึงความหมายของการมีชีวิต
อาจฟังดูเป็นเรื่องเร้นลับ แต่ไม่ว่าใครก็รู้สึกถึงพลังชีวิตได้ เพียงแค่สูดลมหายใจลึกๆ ช้าๆ กลับมารู้สึกตัวอย่างเต็มที่ตั้งแต่หัวจรดเท้า เปิดการรับรู้ออกทั้งหมด เพื่อเชื่อมโยงกับพลังรักอันอบอุ่นจากสรรพชีวิตทั้งมวล เมื่อนั้นเราจะรู้สึกอุ่นใจ รู้สึกมั่นคง และยินดีให้พลังชีวิต ซึ่งมาพร้อมอัจฉริยภาพแห่งจักรวาล ช่วยนำทางให้เรา ช่วยให้เราเห็นทางออกจากความมืดมน แทนการคิดจินตนาการว่าชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหน และต้องควบคุมหรือป้องกันอย่างไร
เมื่อเรารู้สึกถึงพลังชีวิต และสัมผัสได้ถึงความหมายของการมีชีวิต เราจะรู้สึกว่าแค่มีชีวิตก็มีคุณค่าและความหมายแล้ว เราจะมีความสุขในปัจจุบันได้ง่ายขึ้น ไม่ค่อยคร่ำครวญหาอดีตหรือวิตกกังวลล่วงหน้า มองไปทางไหนก็เห็นว่าทุกอย่างล้วนเป็นพร ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่พบเจอหรือเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา รู้สึกได้ว่าทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นโดยไร้จุดมุ่งหมาย เห็นความเชื่อมโยงกันของเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งดีและร้าย จนกระทั่งไว้วางใจภาพรวมของชีวิต และเกิดเป็นความหวังกำลังใจที่จะอยู่บนโลกนี้ต่อไป

