“ผมค้นพบว่า การภาวนาคือชีวิต การเจริญสติภาวนาส่งผลให้ชีวิตกลับคืนสู่ความปกติ เปลี่ยนจากผู้ที่ปล่อยจิตใจไหลไปกับความหลงอย่างรุนแรง กลับมาเป็นรู้เนื้อรู้ตัว ใช้ชีวิตที่เบิกบาน ผ่อนคลาย ยอมรับทุกข์ได้ในชีวิตประจำวัน หากยังมีชีวิตอยู่ ในทุกขณะจิตต้องมีความรู้สึกตัว ทำเหตุระลึกรู้ไปทีละขณะๆ ไม่ว่าจะดีจะร้าย สงบหรือฟุ้งซ่าน ก็แค่รู้ลงปัจจุบันอารมณ์ ทำเหตุให้ถึงพร้อม ส่วนผลไม่ต้องไปคาดหวัง ตระหนักชัดว่าเวลาที่เหลือมีไว้เพื่อภาวนา”
ประมาณ ต่างใจ ทำงาน Graphic Design เขียนภาพประกอบหนังสือ นิตยสาร เขียนประจำอยู่ 9 ปีที่นิตยสารพลอยแกมเพชร และทำงานด้านสื่อโฆษณามาโดยตลอด ช่วงหลังหันมาทำงานศิลปะ เขียนรูปอิสระอยู่ที่บ้านย่านลาดพร้าว 23 เจริญสติภาวนาควบคู่ไปกับการทำงานศิลปะในชีวิตประจำวัน ใช้การระลึกรู้อริยาบทสี่และอริยาบทย่อยหมวดสัมปชัญญบรรพเป็นวิหารธรรม ศรัทธาการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว 14 จังหวะในแนวทางของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ปฏิบัติภาวนาระลึก “รู้สึกตัว” ควบคู่ไปกับการทำหน้าที่การงานทางด้านศิลปะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต
ความหมายของการตื่นรู้
ตอบตรงๆ คือ ไม่ทราบครับ เพราะวิวัฒนาการทางจิตหรือการตื่นรู้ของท่านผู้รู้ทั้งหลายอาจจะมีความหมายในหลายระดับ บ้างก็ลึกซึ้งลุ่มลึกเกินกว่าที่ผมจะเข้าถึง จะต้องตื่นกันสักกี่ครั้งก็ไม่ทราบได้จริงๆ และหากจะอธิบายด้วยความหมายและภาษาที่ใกล้เคียงกับท่านเหล่านั้น ผมกลับมีความเห็นว่า ด้วยเงื่อนไขแห่งภาษาอันเป็นสิ่งสมมติเองนั้น ไม่สามารถถ่ายทอดสภาวะให้ออกมาได้แจ่มแจ้งตรงตามความเป็นจริง ตัวภาษาเองคือปัญหาในการถ่ายทอดสภาวะธรรม
สำหรับผมเองการตื่นรู้ในความหมายที่พอจะพูดคุยแลกเปลี่ยนเท่าที่ภาษาจะทำหน้าที่สื่อสารได้ก็คือ จิตที่ตื่นขึ้นมาจากภาวะที่เคยหลับใหลและถูกครอบงำด้วยความไม่รู้ ให้กลับมารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
จริตของผมมันมักจะหลับๆ ตื่นๆ หลงๆ รู้ๆ จนอยู่มาวันหนึ่ง จะเรียกว่าตื่นรู้หรือไม่ก็ตาม ผมได้รู้จักกับสภาวะธรรมที่เรียกว่า “ความรู้สึกตัว” ผมได้รับการฝึกฝนจิตภาวนาที่สอนให้เห็นความคิด แต่อย่าเข้าไปเป็น กลับมารู้ที่ความรู้สึกง่ายๆของกายของใจ โดยไม่เข้าไปแทรกแซง ผมเรียกภาวะตื่นรู้ขึ้นมาที่ละขณะๆนี้ด้วยคำว่า “รู้สึกตัว” คือแค่นั้นจริงๆครับ นั่นคือสิ่งที่มีคุณค่าและมีความหมายกับชีวิตของผมมาก
ส่วนคุณค่าของการตื่นรู้นั้น อยู่ที่ใจยอมรับความจริงว่า กายใจนั้นไม่เที่ยง ชีวิตคืออนัตตา และความจริงที่ตระหนักรู้นั่นแหละคือ รู้การเปลี่ยนแปลง หลังจากนั้นชีวิต ทัศนะคติ และการมองโลกจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เราจะกล้าทวนกระแสออกจากโลกของความคิดและความเคยชิน มาสัมผัสกับความรู้สึกที่สดใหม่เป็นปัจจุบันธรรม สำหรับผมแล้วภาวะตื่นรู้คือ “ความรู้สึกตัว” นั่นเอง และเชื่อมั่นว่า เพียงพอสำหรับการเริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุด
ตื่นในทุกวินาทีแห่งชีวิต
ผมมองการตื่นรู้เกิดขึ้นได้ทุกขณะจิตเป็นปัจจุบันธรรม ไม่ได้ตัดสินให้ค่าเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง หรือช่วงจังหวะเวลาวินาทีใดเป็นพิเศษ เพราะก็ไม่เที่ยงอยู่ดี !
ช่วงเวลาปัจจุบันที่หลงไป แล้วใจรู้นั่นแหละครับ สำคัญที่สุด การโพลงตัวตื่นอย่างรุนแรงในบางครั้ง เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับจิตได้ในแต่ละช่วงภาวนาที่ปรารภความเพียรอย่างหนัก หากผู้ภาวนาไปหลงยึดเฉพาะจุดใดจุดหนึ่งว่าเกิดปรากฏการณ์บรรลุรู้แจ้งเข้าแล้วนั้น นับว่าอันตรายและประมาทอยู่มาก อาจพลัดหลงออกนอกทางได้ ส่วนตัวผมไม่ให้ความสำคัญเรื่องวินาทีบรรลุธรรม แต่เชื่อในความต่อเนื่อง เชื่อมั่นการบรรลุธรรมหรือการตื่นรู้ในทุกๆวินาทีแห่งชีวิต
ผมค้นพบว่าการภาวนาคือชีวิต การเจริญสติภาวนาส่งผลให้ชีวิตกลับคืนสู่ความปกติ เปลี่ยนจากผู้ที่ปล่อยจิตใจไหลไปกับความหลงอย่างรุนแรง กลับมาเป็นรู้เนื้อรู้ตัว ใช้ชีวิตที่เบิกบาน ผ่อนคลาย ยอมรับทุกข์ได้ในชีวิตประจำวัน หากยังมีชีวิตอยู่ ในทุกขณะจิตต้องมีความรู้สึกตัว ทำเหตุระลึกรู้ไปทีละขณะๆ ไม่ว่าจะดีจะร้าย สงบหรือฟุ้งซ่าน ก็แค่รู้ลงปัจจุบันอารมณ์ ทำเหตุให้ถึงพร้อม ส่วนผลไม่ต้องไปคาดหวัง ตระหนักชัดว่าเวลาที่เหลือมีไว้เพื่อภาวนา
ขอเพียงจิตใจที่ยอมรับความจริงย่อมไม่ยากสำหรับผู้ภาวนา ผู้รู้หลายท่านที่เดินทางล่วงหน้าเราไปก่อนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมการตื่นรู้ย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่เลือกเพศ วัย และศาสนา ทุกคนสามารถเข้าถึงสิ่งๆนี้ได้ ขอให้มีความเพียรอย่างต่อเนื่องที่จะก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้ ผมเชื่อมั่นว่าเมล็ดพันธุ์แห่งการตื่นรู้นี้เรามีกันทุกคน เพียงแต่อาจจะหลับไหลนอนเนื่องหลบเร้นอยู่ภายในจิต ต้องอาศัยเหตุปัจจัยระยะเวลาบ่มเพาะที่เหมาะสม อดทนและรอคอยให้เมล็ดพันธุ์แห่งการตื่นรู้นี้ถูกปลุกขึ้นมา เติบโตผลิบาน ประจักษ์แจ้งแทงยอด โผล่ขึ้นมารับแสงสว่างแห่งปัญญา
เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้สึกตัว
แค่ชีวิตที่ไม่รู้สึกตัว ผมก็ไม่น่าจะมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้แล้วครับ อย่าพูดไปถึงเรื่องตื่นรู้เลยครับ ผมคงจมอยู่กับกองทุกข์ที่ตัวเองปรุงมันขึ้นมาด้วยความไม่รู้ แล้วไปยึดมันเข้านั่นแหละ เริ่มต้นด้วยความไม่รู้ ดำเนินอยู่ท่ามกลางความสับสน สุดท้ายก็คงจบลงด้วยความเศร้า
ความหลงเป็นอุปสรรคที่สำคัญและน่ากลัวที่สุด ตัวหลงนี่แหละเสนอหน้ามาตลอดสายของเส้นทางจิตภาวนา ไม่หลงไปคิดนึกปรุงแต่ง ก็หลงไปรัก, ชอบ, ชัง กระทั่งหลงตัวเองไปยึดติดอารมณ์ว่า รู้ ก็เป็นปัญหาอีรุงตุงนังสำหรับผู้ภาวนา หากเปลี่ยนความหลงเป็นความรู้สึกตัว รู้ด้วยใจที่เป็นกลาง ปล่อยวางภาระต่างๆ ที่แบกไว้ลงไปบ้าง เรื่องราววุ่นวายต่างๆในชีวิตก็จะกลับสู่ความปกติ เรียบง่าย คลี่คลายลงไปได้เยอะเลยครับ
การเดินทางภายในมันทำให้ผมรู้ว่า ชีวิตไม่ควรประมาท ภพภูมิที่ทุกข์ทรมานนั้นมันมีอยู่จริงไม่ต้องรอตาย ระลึกรู้สัมผัสได้ในจิตในใจของเรานี่เอง เราเกิดมาเพียงชั่วคราว เวลาที่เหลืออันแสนสั้นนี้ควรมีไว้เพื่อภาวนา ชีวิตที่มีอิสรภาพและสันติสุขไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝัน มันสัมผัสได้จริงในปัจจุบัน
กลับสู่ความเรียบง่ายและธรรมดา
เราต่างก็เดินอยู่บนเส้นทางแห่งทุกข์นี้ร่วมกัน ไม่ว่าจะล้มสักกี่ครั้งก็อย่าท้อ ขอให้ลุกและรู้สึกตัว สำหรับผมแล้วภาวะตื่นรู้หรือ “ความรู้สึกตัว” นั้นมีประโยชน์อย่างมาก วิธีการปฏิบัติฝึกหัดขัดเกลาก็ไม่ได้ยากลำบากจนเกินไป เพียงเลือกให้เหมาะสมกับจริตของตนเอง นำมาปรับใช้กับหน้าที่การงานในชีวิตจริง อย่าแยกกรรมฐานออกจากกิจวัตรประจำวัน การเจริญสติภาวนาก็จะเป็นทางเลือกที่เรียบง่ายและธรรมดา งดงามเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตคนๆหนึ่ง ที่จะก้าวเดินออกจากกองทุกข์ แค่นั้นจริงๆ
ก้าวทุกก้าวบนทางสายนี้ล้วนเป็นกัลยาณมิตร ทุกก้าวที่ตื่นรู้ล้วนเป็นสัมมาทิฏฐิ ค่าเท่ากันหมด ไม่มีเล็กมีใหญ่ ขอให้เรียนรู้และก้าวเดินขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางที่สงบและสันติสุขร่วมกัน
สร้างสังคมแห่งความรู้สึกตัว
หน้าที่สำคัญอันดับแรกของชีวิตคือ ทำความเข้าใจรู้จักกับตัวชีวิตเอง ก่อนที่จะออกไปแสวงหาความรู้จากภายนอกกายใจ การตื่นรู้ ระลึกรู้ หรือความรู้สึกตัว มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกฝนเรียนรู้ก่อนศาสตร์แขนงอื่นๆ ไม่ควรที่จะรอจนสายแล้วมาสอนกันตอนแก่ ทำไมเราไม่รีบสอนสติปัฏฐานกันเสียตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเด็ก ทั้งที่เราท่านก็ท่องกันคล่องปากว่าอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร การปล่อยให้ความไม่รู้พอกหนาแล้วมากระเทาะออกทีหลังไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย
เราต้องผลักดันกิจกรรมทางสังคมควบคู่ไปกับกิจกรรมทางศาสนา ให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นศรัทธาในวิถีแห่งการตื่นรู้ร่วมกัน โดยไม่แบ่งแยกเพศ วัย ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ หาจุดเชื่อมโยงผู้คนที่ปราถนาสังคมสันติสุขร่วมกันให้เจอ และมีวัฒนธรรมขับเคลื่อนการเรียนรู้ที่จะทำเหตุแห่งการตื่นรู้ ละความเห็นผิด ละความเห็นแก่ตัวในทุกระดับเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข