จากประสบการณ์นับสิบปีในฐานะนักทำงานสังคมที่สนใจพลังในการแปรเปลี่ยนทั้งในระดับชีวิต องค์กร ชุมชน และขบวนการทางสังคมที่ไปสู่ความสุขและพลังความร่วมมือกัน พรชัย บริบูรณ์ตระกูล เป็นกระบวนกร เป็นนักวิจัยจัดการความรู้ นักติดตามประเมินผลแบบเสริมพลัง นอกจากนี้ เขาได้เปิดพื้นที่บ้านตนเองเป็นที่ฝึกฝนและแบ่งปันในชื่อ “บ้านพรชีวิต” ซึ่งมีคอร์สอบรมต่างๆ รวมถึงร่วมมือกับกลุ่มเพื่อนและครูที่เคารพรัก จัดชุด “พรชีวิต เดอะซีรีส์”

พรชัยเป็นคนกรุงเทพฯ ที่ครอบครัวขายก๋วยเตี๋ยวหาเช้ากินค่ำ เมื่อโตมาได้เรียนรู้โลกกว้างผ่านการเป็นนักกิจกรรมชมรมฯ และออกมาทำงานเป็นนักทำงานสังคมที่เน้นการนำคุณค่าของพุทธธรรมมาสู่ชีวิตและชุมชน โดยอยู่ที่มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป ในส่วนอาศรมวงศ์สนิทฯ คณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา เสมสิกขาลัยเมืองไทย และเสมสิกขาลัย สปป.ลาว ซึ่งเป็นงานการเสริมศักยภาพผู้นำชาวพุทธรากหญ้าใน 10 จังหวัด ภายใต้การนำของรองประทานสงฆ์ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐานของคณะสงฆ์ลาว เป็นงาน 10 ปีสุดท้ายก่อนกลับมาตั้งรกรากเคลื่อนงานต่อในไทย


พบทาง “ความรู้สึกตัว”
ผมเป็นคนจนในกรุงเทพฯ ช่วงวัยเด็กเติบโตขึ้นโดยที่ความรักและความเข้าใจในตัวเองน้อยมาก ชีวิตลดทอนเหลือการมุ่งเรียนและทำงานหาเงิน ที่เหลือศรัทธาอยู่คือทำเพื่อช่วยให้แม่เบาแรงขึ้น จนเมื่อเริ่มมีเพื่อนเป็นลูกชาวสวนนนท์ ผมก็ตื่นเต้นกับภาพชีวิตที่อยู่กับท้องร่องท้องสวน ปลูกต้นไม้ หาผัก จับปลา เก็บพืชผลออกไปขาย ดูมีรอยยิ้มแห่งความสุขและเป็นเสน่ห์ที่เติมเต็มให้หัวใจผมสัมผัสสุขไปด้วย จากนั้นผมก็เริ่มไปสู่การเป็นนักกิจกรรมในชมรมฯ ค้นหาและพบขุมทรัพย์มากมายจากการไปรู้จักวิถีวัฒนธรรมชุมชน พลังใสๆ จากเด็กๆ อันบริสุทธิ์ได้ช่วยให้ผมยิ้มออกมาจากใจ ความใส่ใจต่อกันในบ้านและชุมชนให้ความอบอุ่นจนเรารู้สึกถึงคุณค่าและความสำคัญในตัวเอง ขณะที่เห็นอีกด้านว่ากระแสโลกช่างโหดร้ายไม่ยุติธรรม ลดทอนความงามของชีวิต ชุมชน และธรรมชาติ อย่างไม่ปราณี สิ่งนี้ทำให้เสียงความรู้สึกภายในของผมปั่นป่วน ตีกัน และถามว่าอะไรคือคุณค่าที่เราเลือกเดินในชีวิต ลึกๆ ผมรู้ว่าในใจว่าเลือกทิศทางไหน แต่เราก็ยังคงหวั่นๆ อยู่

ช่วงเดียวกัน ผมอายุครบ 20 ปี ผมใช้เป็นโอกาสบวช ซึ่งคิดว่าเป็นการทำอะไรให้พ่อแม่อีกครั้ง และพอรู้มาบ้างว่าวิถีการภาวนาน่าจะช่วยให้เราชัดเจนในเส้นทางชีวิต ผมเลือกขึ้นไปอยู่ที่วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิซึ่งโชคดีอย่างที่ตั้งใจเพราะผมได้พบกับหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ ที่ท่านกำลังจัดปฏิบัติธรรม 10 วัน และนั่นได้กลายเป็นช่วงปาฏิหาริย์ของการตื่นที่ผมสัมผัสครั้งแรกในชีวิต
ผมยังรู้สึกถึงเสียงของหลวงพ่อที่เน้นให้รู้สึกตัวจากท่าเคลื่อนไหว ทำเล่นๆ แต่ไม่หยุด ขณะที่การฝึกฝนแต่ละช่วงเวลาก็มีความปั่นป่วนของเสียงในใจว่า เราต้องหางานที่มีรายได้มั่นคงเพื่อเศรษฐกิจทางบ้าน อีกใจก็เลือกคุณค่าของชีวิตที่อิสระ เรียบง่าย ทำเพื่อชุมชน แต่ไม่รู้จะอยู่รอดได้อย่างไร เสียงสองด้านตีกันลากเราไปทางนั้นทีทางนี้ที ยิ่งคิดๆๆๆ ก็ไม่ตก เดินไปบนลานจงกลมจนร้องไห้
หลายวันเข้าเมื่อบ่มเพาะการกลับมารับรู้ความเคลื่อนไหวทางกายบ่อยๆ ผมก็เริ่มกระโดดออกมาจากความปั่นป่วนชัดขึ้นๆ จนเริ่มมองเห็นใจที่ตัวเองเป็น แม้ใจจะยังปั่นป่วนแต่เหนื่อยหรือทุกข์ใจน้อยลง ค่อยๆ โล่งขึ้น จนพลังความรู้สึกตัวค่อยๆ แปรเปลี่ยนให้เราค่อยๆ มีโอกาสต่างๆ มากขึ้น เรานำความรู้สึกรักตัวเอง รักผู้คนต่างๆ ที่เราผูกพันกลับมาและร้องไห้ด้วยน้ำตาจากความปีติ เรานำความเข้าใจใหม่ๆให้ผุดขึ้นในใจ เป็นเหมือนแสงสว่างที่ช่วยให้เข้าใจความหมายใหม่ และร้อยเรียงประสบการณ์ที่ผมได้รับจากวิถีวัฒนธรรมชุมชน ให้เห็นระบบคุณค่าและความหมายที่สำคัญของการบ่มเพาะความสุขและคุณค่าที่ลึกซึ้งของชีวิตในชุมชน ความแจ้งกระจ่างนี้ตอบคำถามการเลือกเดินทางชีวิตของผมได้อย่างชัดเจน และผมบอกกับตัวเองว่าไม่เลือกเงินเป็นคำตอบ ขอทำงานภาคสังคมเพื่อใช้เป็นทางฝึกฝนตนเองและเกื้อกูลสิ่งดีงามให้เกิดขึ้น

จากสิ่งที่เลือกและเดินทาง ประสบการณ์ของการตื่นรู้เป็นปาฏิหาริย์ของชีวิตผมเสมอ ที่พาไปสู่พลังความเข้าใจอันลึกซึ้ง ที่หลอมรวมกันบนฐานของความรักและกรุณา ทั้งความเป็นหนึ่งภายในตัวเราและกับสรรพสิ่ง เพียงเราวางใจและเชื่อมั่นกับชีวิตที่เราปฏิบัติในทางที่ดีงาม และอยู่บนความรู้ตัวทั่วพร้อม พลังแห่งความจริงของปัญญาและความรักก็จะหล่อเลี้ยงเรา พร้อมกับวิถีทางที่เหมาะสมก็จะปรากฏ
ผมคิดว่าผมได้เลือกเส้นทางให้กับชีวิต ด้วยสภาวะที่เชื่อมั่นในวิถีของการเติบโตภายใน กระจ่างชัดในคุณค่าและความหมายที่เลือกเดิน เป็นนักทำงานเพื่อสังคมที่เน้นการนำพุทธธรรมให้มามีคุณค่าความหมายกับชีวิตและสังคม ตราบใดที่เรายังไม่ลืมการกลับมาที่ความรู้สึกตัว ก็คิดว่าเราคงได้พบกับขุมทรัพย์อีกมากมายที่ชีวิตจะเก็บเกี่ยวได้

ณ ห้วงเวลา “การตื่นรู้”
“การตื่นรู้” ในประสบการณ์ผม ถือเป็นห้วงขณะของการผลิบาน แปรเปลี่ยนให้จิตวิญญาณความเป็นมนุษย์เติบโตขึ้น เป็นเวลาที่ความเข้าใจได้มาบรรจบกับความรักและหลอมรวมเป็นหนึ่งกับสรรพสิ่ง เกิดสภาวะของความเป็นอิสระที่กว้างใหญ่ขึ้น และสิ่งนี้ได้เป็นดาวประกายในใจที่นำทางให้ผมมีจุดมุ่งหมาย ใช้ชีวิตพร้อมกับการงานที่สอดคล้องกับเป้าหมาย การตื่นรู้จึงเป็นทั้งสภาวะที่ทรงพลัง ให้เป้าหมายและการเดินทางของชีวิต
ตลอดการเดินทางบน “ความรู้สึกตัว” ที่พาไปสู่ “การตื่นรู้” ผมรู้จักฝึกฝนแปรเปลี่ยนชีวิตจากเรื่องเราต่างๆ ให้เป็น “พรและธรรม” หรือความงอกงามของชีวิต อีกทั้งได้พบกัลยาณมิตรที่เป็นครู เป็นแบบอย่าง แรงบันดาลใจ ชี้แนะการฝึกฝน และเพื่อนพ้องที่วางใจได้อย่างอบอุ่น จนเรารู้สึกขอบคุณในทุกๆ วันที่ตื่นขึ้น และขอขอบคุณไปถึงทุกๆ สรรพสิ่ง ที่แต่ละโครงการ แต่ละงานกิจกรรมและคอร์สการอบรมได้จบลงด้วยพลังความงอกงามในรัก ในความเข้าใจ ในความเป็นเพื่อน

อีกทั้งช่วยให้เรามีความกล้าหาญและท้าทายตัวเองมากพอในการเผชิญทุกข์ที่อยู่ตรงหน้า ในการเท่าทันต่อกระแสทุนนิยมบริโภคที่ลดทอนความเป็นมนุษย์และความเข้มแข็งของสังคมลงทุกที ซึ่งทำให้น้อมจิตไปถึงป๊า(พ่อ) ที่ห้วงเวลาหนึ่งเป็นคนที่ล้มเหลวมากสำหรับคนครอบครัวและแกก็โดดเดี่ยวมากๆ ด้วยทางแห่งการตื่นรู้ได้ช่วยให้ครอบครัวเราพาความใส่ใจและรักต่อป๊ากลับมา นี่เป็นของขวัญที่ป๊าสอนให้เราและครอบครัวเรียนรู้จักรักที่ไม่มีเงื่อนไข ผมคิดว่ามีสิ่งใกล้ๆ ตัวที่เราแต่ละคนสามารถกลับไปถนอมดูแลด้วยคุณภาพจากภายในของเรา ช่วงหลังผมมีบางวันที่รู้สึกชีวิตโล่งสบาย และบอกกับตัวเองว่า “ชีวิตนี้อยู่อย่างคุ้มค่าแล้ว” ที่เหลือถือเป็นกำไรที่จักทำเต็มกำลังที่มี ผมคิดว่าเราแต่ละคนมีชีวิตที่ควรค้นพบถึงจิตวิญญาณที่มีความหมายบางอย่างของตนเอง และ “การตื่นรู้” อาจเป็นประตูหรือเส้นทางที่สำคัญในการนำพาสภาวะของเราให้ไปถึง โดยรูปแบบหรือเส้นทางที่แต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน

ทั้งนี้การออกแบบแนวทางหรือรูปแบบของแต่ละคน ยังขึ้นอยู่กับบริบทที่เจอ วาระหรืออุปสรรคของตัวเรา หลุมพรางที่แต่ละคนมีอยู่ต่างกัน สำหรับผม ผมเริ่มรู้ว่าตัวเองอยู่ในกรอบของความเป็นคนดีมากเกินไป จริงจังกับงาน ไม่ดูแลฐานชีวิต จนบางครั้งขาดความมีชีวิตชีวา ร่ายรำ และเลื่อนไหล การกลับมาผ่อนคลายและดูแลชีวิตอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ระยะหลังนี้ ผมใช้วิถีการรำมวยไท่จี๋และฝึกชี่กงเป็นเครื่องอยู่ของการภาวนาแบบเคลื่อนไหว ทั้งนี้ยังส่งผลต่อเรื่องของการเข้าใจในมิติชี่ หรือ ปราณ ที่ช่วยเป็นฐานการดูแลสุขภาพและการบำบัดรักษาได้เป็นอย่างดี ซึ่งยุคนี้ผู้คนพากันเจ็บป่วยกันมากเพราะพฤติกรรมที่ขาดการดูแลพลังชีวิต เราถูกสิ่งต่างๆ ลากพาไปโดยเฉพาะความสำเร็จและความร่ำรวย ซึ่งถ้าผมไม่ได้เดินบนเส้นทางของการตื่นรู้ ผมอาจจะมีชีวิตที่มีเงินทองพอควร แต่ผมคงสูญเสียโอกาสที่จะได้รับของขวัญจากชีวิตภายในและอาจเป็นคนเจ็บที่ต้องมาเยียวยารักษาหรือเดินตามหาจิตวิญญาณที่ขาดหายไปในช่วงหลังของชีวิต


วิถีการภาวนาที่ผมเรียนรู้ยังช่วยเป็นรหัสที่สำคัญของการออกแบบงานกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งผมนำมาเป็นฐานการจัดคอร์สอบรมต่างๆ สู่พลังการแปรเปลี่ยนชีวิต ในนาม “บ้านพรชีวิต” ซึ่งเป็นเรื่องที่แวดวงการเรียนรู้และฝึกอบรมกำลังตื่นตัวสนใจ ทั้งนี้ผมเข้าใจวิถีการภาวนาอย่างลึกซึ้งขึ้นมากจากการที่ผมมีคู่ชีวิตที่มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งช่วยเกื้อกูลกันมาก และกล้ากะเทาะกันและกันไปสู่รักที่เติบโต
ทางแห่งการแปรเปลี่ยนสังคม
ผมคิดว่ากระแสที่ผู้คนโหยหาความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีทวีมากขึ้นทุกที ครั้งนึงในคอร์สอบรมเราคุยกันและพบว่าความทุกข์ใจจากเรื่องราวต่างๆ ทั้งความเจ็บป่วย นอนไม่หลับ ขัดแย้ง สับสน ฯลฯ เป็นจุดเริ่มต้นของการแปรเปลี่ยนของชีวิต ถ้ามองเช่นนี้สังคมสมัยใหม่ที่ผู้คนเผชิญกับทุกข์ที่มากขึ้น ก็นำพาไปสู่โอกาสของการค้นหาทางออก ซึ่งทางออกที่สำคัญครั้งนี้คือ “การตื่นรู้” อาจจะเรียกได้ว่าเป็นแกนกลางที่กำลังขับเคลื่อนให้เกิดกระแสทางเลือกขึ้นมาเป็นกระแสรองของสังคมในขณะนี้ ซึ่งมีอยู่ในทุกๆ ระดับ เช่น กลุ่มปฏิบัติธรรมต่างๆ กลุ่มเกษตรอินทรีย์ กลุ่มโยคะ กลุ่มสมุนไพร กลุ่มชาวนารุ่นใหม่ กลุ่มภาคประชาสังคมจังหวัดต่างๆ กลุ่มส่งเสริมสุขภาพฯ องค์กรอิสระที่เสริมสร้างพลังทางสังคม ฯลฯ โดยแต่ละกลุ่มอาจใส่ใจรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่เน้นถึงการแปรเปลี่ยนที่จะตื่นรู้เข้าถึงการอยู่ได้อย่างมีความสุขและมีความหมายร่วมกัน

ถ้าเราเชื่อมโยงกลุ่มคนที่ทำงานด้านนี้ให้ได้รู้จักกันมากขึ้น น่าจะช่วยขยายให้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่รองรับคนในสังคมที่ต้องการออกมาค้นหาเส้นทางการตื่นรู้ของตนเอง ในระดับก้าวใหญ่ๆ หากกระบวนการตื่นรู้เข้าไปอยู่ในการสร้างกระบวนการเรียนการสอนทุกระดับชั้นของการศึกษาไทย ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันของการเรียนรู้แนวจิตตปัญญา หรือ จิตวิญญาณ ก็คงมีผลต่อหน่อใหม่ของสังคมได้มิใช่น้อย กระบวนการสร้างพลังการแปรเปลี่ยนเพื่อไปสู่การตื่นรู้ คงไม่ใช่เรื่องยากเกินที่จะเข้าใจ ยิ่งในภาวะที่ความทุกข์ในสังคมมีมากมาย ถ้าคนเราได้มีโอกาสรับรู้และสัมผัสกับประสบการณ์ตรงในใจ จิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ภายในของแต่ละคนจะนำทางและเปิดเส้นทางให้กับตัวเองต่อไป ส่วนตัวเราสิ่งสำคัญคือหมั่นดูแลและฝึกฝนตน ให้แสงการตื่นจากภายในนำทางเรา