ชายหนุ่มที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิชาปรัชญาและจริยศาสตร์ อาจารย์ประจำหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาปรัชญาและจริยศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ดร.เมธา ทำอาชีพการงานในวิชาที่น้อยคนจะสนใจเรียนรู้อย่างมุ่งมั่น ไม่เพียงเท่านี้ สำหรับผู้คนที่สนใจเรื่องการเติบโตทางจิตวิญญาณในโลกออนไลน์ ย่อมมีไม่น้อยที่ได้ผ่านตากับโพสต์ข้อความปลุกจิตสะกิดใจที่คมคายและแฝงด้วยสัจธรรมจากเฟสบุ๊ค เมธา หริมเทพาธิป

นอกจากบทบาทในการเป็นอาจารย์สอน เป็นนักวิจัย ดร.เมธามีส่วนร่วมในสังคมเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและจิตวิญญาณ ในตำแหน่งเลขาธิการมูลนิธิสหธรรมิกชน และเขายังเป็นผู้ริเริ่มและดำเนินกิจกรรม “ความจริง ความงาม ความรัก” วงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ ที่ได้นำพาให้ผู้คนนับร้อยได้ค้นพบเส้นทางในการเดินทางของจิตวิญญาณ ทำไมเขาถึงมุ่งมั่นตั้งใจในเส้นทางการเรียนรู้ทางจิตวิญญาณ และมุ่งมั่นมากขนาดนี้?
บนเส้นทางสู่วันแห่งการตื่น
ผมเริ่มต้นภาวนาจิตอย่างจริงจัง ตอนช่วงอายุ 16 ปี ออกบวชตอนอายุ 19 ปี และอุปสมบทเป็นพระต่อเนื่องกันรวมทั้งสิ้น 10 ปี เมื่อลาสิกขาออกมาก็ปฏิบัติฆราวาสธรรมมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 7 ปี (ปัจจุบันอายุ 36 ปี) เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเจอกลุ่มเพื่อนสหธรรมิกชน ณ ช่วงเวลานี้เองที่รู้สึกว่าเวลาในแต่ละวันได้ใช้ไปอย่างคุ้มค่าเพื่อการพัฒนาขัดเกลาตนเองอย่างลึกซึ้ง สิ่งที่ได้คือความรู้สึกตัวทั่วพร้อม การได้ก้าวข้ามอัตตาอย่างไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน การได้เรียนรู้ระบบไหลเวียนของพลังงานหรือปราณในร่างกาย ซึ่งเป็นการเรียนรู้ระบบขันธ์ 5 อย่างต่อเนื่องร่วมกับเพื่อนสหธรรมิกผู้มีธรรมเป็นกัลยาณมิตรจนถึงปัจจุบัน

ผมพบว่า จิตเป็นอิสระจากเงื่อนไขมากขึ้นเรื่อยๆ มีความสุขง่ายๆ อยู่กับรักแบบง่ายๆ เข้าใจตนเองและคนรอบตัวมากขึ้น อยู่กับปัจจุบันขณะมากขึ้น ส่วนคนรอบข้างเห็นการเปลี่ยนแปลงของเราอย่างต่อเนื่องและเป็นธรรมชาติ เช่น บุคลิกภายนอก วิธีคิด การเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์ การทำความเข้าใจและยอมรับอัตตาของตนเองเพื่อก้าวข้ามอย่างรวดเร็ว การตรงไปตรงมากับความรู้สึก การยับยั้งชั่งใจไม่ให้ไหลไปตามอารมณ์ที่ก่อให้เกิดทุกข์โทษแก่ตนเองและผู้อื่น ความสามารถในการรับใช้และดูแลเพื่อนมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเป็นธรรมชาติ มีกระบวนการเรียนรู้เพื่อนมนุษย์เพื่อเติมสมดุลให้กับจิตใจตนเองและผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง
ผมเรียนรู้ว่า รู้รอบแสนโกฏโลก รู้ทั่วแสนโกฏจักรวาล ยังไม่เท่า ‘รู้ใจตน’ จะมีประโยชน์อะไรจากความใคร่กระหายรู้ หากมันไม่ทำให้คุณรู้จักคำว่า ‘ชีวิต’ เมื่อเราเข้าใจชีวิต เราก็จะรู้จักตัวเอง ยอมรับตัวเองได้มากขึ้น เราจะหนีปัญหาที่เข้ามาน้อยลงตามลำดับ เมื่อเราไม่หลีกหนีและไม่กลัว ก็จะเห็นปัญหาตามความเป็นจริง และรู้ความจริงของสถานการณ์โดยรอบ เราจึงแก้ปัญหาได้
เมื่อจิตวิญญาณภายในได้ถูกเติมเต็ม ความปรารถนาสิ่งใดล้วนไร้ความหมาย
การตื่นรู้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ปัญญาเป็นส่วนประกอบ คนเราตื่นรู้ในทุกๆ วัน และเมื่อตื่นแล้วก็ยังตื่นได้อีกไม่รู้จบ
We are the one คือ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน บางคนเป็นแขน บางคนเป็นขา บางคนเป็นหัว ไม่มีใครสำคัญกว่าใคร และขาดใครไปจะรู้สึก เพราะเราเป็นร่างกายเดียวกัน เราไม่อาจมีความสุขได้ในขณะที่คนอื่นในสังคมที่เป็นเพื่อนเรายังทุกข์ยากลำบากอยู่ จะดีจะเลว จะถูกจะผิดก็เพื่อนเรา
วิถีของเพื่อนที่รู้รักสามัคคีเช่นนี้ คือ Oneness หรือ We are the one หรือ We are the world แล้วแต่สมมติบัญญัติ
แม้จะต่างความถี่ แต่ก็อยู่ด้วยกันได้ สามารถร่วมคิด ร่วมรู้สึก ร่วมทำ ด้วยกันได้ ทำน้อย ทำมาก ไม่ว่ากัน เพราะเราเป็นเพื่อนกัน แต่ละคนล้วนมีหน้าที่ต่างกัน มีข้อจำกัดต่างกัน เมื่อรู้และเข้าใจกัน ก็รวมใจกันเป็นหนึ่งได้ คือเอกภาพบนความหลากหลายของสิ่งมหัศจรรย์ที่เรียกว่า Oneness แท้จริงแล้วมันก็คือ วิถีที่เรียบง่ายและสุดแสนจะธรรมดานี่เอง

การตื่น คืออะไร
ในความหมายของผม การตื่น คือ การเข้าถึงสัจจะ ไม่มีอะไรมาก เรียบง่าย สบายๆ แค่มี ‘สติ’ มี ‘ความรู้สึกตัว’ เกิดขึ้นเมื่อไรก็ตื่นเมื่อนั้น เกิดขึ้น 1 นาที ตื่นรู้ 1 นาที เกิดอย่างต่อเนื่อง ตื่นรู้ต่อเนื่อง ใช้ชีวิตเรียบง่าย สบายๆ ‘ทำให้ง่าย แต่ไม่มักง่าย’ เอาใจใส่ในความรู้สึกตัว อย่างละเมียด อย่างละไม จนกระทั่งตัวเองก็ไม่ใช่ตัวเอง เป็นแค่กิริยากาย กิริยาจิต จิตที่ฝึกดีแล้วเช่นนี้ เหมาะแก่งาน งานทางจิตวิญญาณแห่งการตื่น
สำหรับผมนั้น การตื่นเป็นพื้นฐานเบื้องต้นของการเข้าถึงความว่าง ความว่างในที่นี้ไม่ใช่การ ‘รู้ว่าง’ ที่เกิดจากการเข้าฌานในระดับต่างๆ แต่เป็นการ ‘ว่างรู้’ เพื่อเชื่อมต่อ (Connect) กับเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่ง โลก และจักรวาล
เราตื่นเพื่อเข้าถึงความเป็นธรรมดาที่เรียบง่ายที่สุด มีเงื่อนไขตามที่จำเป็นคือให้น้อยที่สุด เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับรักง่ายๆ ที่สามารถมอบให้กับคนรอบข้าง อาจจะดูเหมือนว่าเป็นจุดเล็กที่ไม่ยิ่งใหญ่ แต่โดยแก่นแท้แล้วนั้น กลับเป็นสิ่งที่งดงามและทรงพลังที่สุด มันเป็นสัมผัสแห่งรักแท้ที่ไม่ต้องปรุงแต่งด้วยความนึกคิดว่าฉันจะรักคนทั่วทั้งจักรวาล เพียงสามารถรักคนคนหนึ่งหรือรักคนที่อยู่รอบตัวได้จากหัวใจ รักนั้นจะสั่นสะเทือนไปเองทั่วทั้งจักรวาล เพราะความรักไม่ได้ต้องการมากมายแค่ความรู้สึกที่สั่นสะเทือนออกจากหัวใจจากความจริงใจ จากความบริสุทธิ์ใจซื่อๆ ใสๆ จากหัวใจจริงๆ

คนที่มีความรักอยู่ภายใน เวลาที่มันสะเทือนออกมาคลื่นความรักจะแผ่ฟุ้งกระจายดูมั่นคง อบอุ่น และงดงาม ความรักจะมาพร้อมกับความจริงเสมอ บางครั้งมันอิ่มเอมตื้นตัน บางครั้งมันเจ็บปวดปะปนไปกับความงดงาม คนที่มีความรักจะรู้ว่ามันไหลเวียนส่งผ่านอย่างสมดุลและซาบซึ้ง มันเป็นรักง่ายๆ ที่มนุษย์มีให้กันได้ มันเป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่คิดเอาเองไม่ได้ แต่ทำให้รู้สึกได้ด้วยมิตรภาพ ความปรารถนาดีอันสุดซึ้ง การช่วยเหลือสนับสนุน การแบ่งปันดูแลกันด้วยใจ การให้จากภายในที่ไม่หวังผล รักง่ายๆ ที่มนุษย์มีให้กันได้
ถ้าพูดในเชิงพลังงาน มนุษย์มีแหล่งพลังงานในตัวเองที่เชื่อมต่อกับสรรพสิ่งทั่วจักรวาล พลังงานดังกล่าวไหลเวียนอยู่เป็นปกติ มีการรับส่งกระแสบวกและลบตามธรรมชาติ
เมื่อจิตประทับความรู้สึกบนกระแสบวก ความคิดก็เป็นไปในทางบวก ส่วนจิตที่ประทับความรู้สึกลบ ความคิดก็เบนทิศไปทางตรงกันข้าม ทุกกระแสที่ไหลผ่านเข้ามากระทบ และประทับความรู้สึกต่างๆ ที่ดวงจิตเพื่อสนองความทะยานอยาก เป็นเครื่องวัดใจภายในถึงความ ‘พร่อง’ ของจิตที่ยังไม่ถูกเติมเต็ม ลักษณะของจิตที่มีความ ‘เติมเต็ม’ จะไม่โหยหาพลังงานจากสิ่งภายนอก และพร้อมจะ ‘เปี่ยมล้น’ แผ่ไปถึงคนรอบตัวตามเหตุตามปัจจัย
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะจิตของคนคนนั้น ‘ว่าง’ จริงๆ ไม่ใช่ว่างจากการคิด หรือการสร้างแบบจำลอง (Model) ของความว่างที่เกิดจากกระบวนการของสมองที่มันหลอกเราอยู่ตลอดเวลา กระแสลบและบวกจะไหลผ่าน ณ จุดของความว่างนั้นอย่างต่อเนื่อง ณ จุดนั้นเป็นอาการจิตที่ ‘รู้ซื่อๆ’ คือ ไม่ต้าน แต่ก็ไม่ไหล ไปตามกระแส เมื่อไม่ไหลตาม จึงไม่เพลิด จึงไม่เพลิน จึงไม่ยึด ไม่ประทับ แค่รู้ซื่อๆ อย่างนั้น พลังงานจึงไหลเวียนเป็นปกติ จิตจึงไม่พร่อง จึงเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ จิตเช่นนี้ควรแก่งานอย่างยิ่ง งานในที่นี้คือ ‘หน้าที่’ หน้าที่ที่มนุษย์พึงมีต่อมนุษย์ เป็นหน้าที่ของการรับใช้ความรู้สึกเพื่อนมนุษย์ ทั้งในยามที่ใจมนุษย์ขาดและในยามที่ใจมนุษย์ล้นด้วยอัตตา อันเกิดจากความไม่สมดุลของโลกและจักรวาลแห่งนี้

ตื่นสู่ชีวิตแห่งการรับใช้
1. สามารถรับใช้ความรู้สึกของคนที่เรารักได้
2. สามารถรับใช้ความรู้สึกของคนที่รู้สึกเฉยๆ ได้
3. สามารถรับใช้ความรู้สึกของคนที่ฉลาดแกมโกง เห็นเราเป็นเครื่องมือ หวังผลประโยชน์แก่เรา จ้องเอาเปรียบเราได้
4. สามารถรับใช้ความรู้สึกของคนที่เราเกลียดได้
5. สามารถรับใช้ความรู้สึกของคนที่คิดทำร้าย/คนที่ไม่เข้าใจเรา/คนที่ไม่เห็นค่าเรา/เห็นเราเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงได้
6. สามารถรับใช้ความรู้สึกของคนลุแก่อำนาจด้วยทิฏฐิของตนได้
7. สามารถรับใช้ความรู้สึกของผู้ที่เข้าถึงความว่าง แต่เอาสิ่งนั้นมาใช้เพื่อเอาผลประโยชน์เข้าตัวได้
ทุกวันนี้มนุษย์โดยทั่วไปขาดสมดุลเยอะมาก อันเนื่องมาจากกิเลสตัณหา ความกลัว ความกังวล ความคาดหวัง ความอยาก ความปรารถนา การต้องการได้รับการยอมรับ การต้องการความสำเร็จ การจ้องตัดสินด้วยทิฏฐิอันหลากหลาย ฯลฯ
การรับใช้ความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์ในที่นี้ หมายถึง การเข้าไป ‘เติมสมดุล’ ให้กับเพื่อนมนุษย์ที่อยู่รอบตัวเรา คอยเข้าไปเติมกำลังใจ หยอดความห่วงใย ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ในยามที่เพื่อนมนุษย์เกินเหมือนน้ำล้นแก้ว เราจะเข้าไปรองรับอัตตาที่ล้นนั้น เหมือนเอาถาดใบใหญ่ไปช่วยรองรับน้ำไม่ให้ตกกระเด็น กระจายเรี่ยราดไปโดนคนอื่นๆ
การรับใช้ความรู้สึกเพื่อนมนุษย์เริ่มต้นจากการรับใช้คนที่เรารัก จากนั้นก็เป็นคนที่เรารู้สึกเฉยๆ และรับใช้คนที่เราเกลียด และแม้กระทั่งคนที่จ้องจับผิดเรา ไม่หวังดีต่อเรา เราก็ยังรับใช้ความรู้สึกของเขา นั่นก็เพราะเขาไม่สมดุล
การรับใช้ความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์นั้น เป็นความสามารถในการทนต่ออัตตาตนเองและผู้อื่นได้ด้วยความเข้าใจ คือมีเมตตาจิต มีความรักอย่างไร้เงื่อนไข ตามลำดับขั้น

แม้ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ยาก แต่มันยากที่ใจของเรา เต็มไปด้วยศักดิ์ศรี และความถือตัว อัตตาของเราตัวใหญ่ กว่าจะน็อคมันได้บนเวที ใช้กำลังหักหาญก็ไม่ได้ ต้องใช้ความเข้าใจ ใช้ความเมตตากรุณาในระดับสูง มีความกล้าหาญ มีปัญญา มีอุบาย และที่สำคัญต้องมีความเสียสละ
สิ่งที่ได้คือ ความหลุดพ้นจากกองทุกข์ที่อยู่ตรงหน้า การได้โอกาสขัดเกลาตนเองในทุกๆ วัน การได้สละอัตตาที่สละได้ยาก และทำให้เราได้รู้จัก ได้ยอมรับ ได้ให้อภัยตนเองและผู้อื่นทั้งในปัจจุบันและอดีต ได้ความรู้สึกศิโรราบต่อพระธรรมชาติ ได้ปัจจุบันธรรมที่ไร้ความกลัวกังวลในอนาคตอันเกิดจากการถูกความคิดคุมขัง ได้ให้โอกาสตนเอง ให้โอกาสเพื่อนมนุษย์ ไม่ว่าเขาจะถือครองความจริงแบบใด เขาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเพื่อนร่วมโลกที่เราต้องให้ความรักอย่างเป็นธรรม เพราะเราเองก็เป็นแค่คนธรรมดาที่มีโอกาสผิดพลั้งพลาดไม่ต่างจากคนอื่นๆ

ชีวิตจะเป็นอย่างไร หากใจไม่ตื่น
สมมติว่าผมไม่เคยได้ผ่านประสบการณ์การตื่นรู้ สิ่งที่น่าจะเป็นก็คงมีสติรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง เป็นเหตุให้รู้ไม่เท่าทันปัจจุบันธรรมที่เกิดขึ้น สิ่งที่น่าจะได้จากการรู้ไม่เท่าทัน ก็คือ
มอง แต่ไม่เห็น
ได้ยิน แต่ไม่ได้ฟัง
ได้ชิม แต่ไม่รู้รส
ได้สัมผัส แต่ไม่รู้สึก
ได้เข้าร่วม แต่ไม่เคยเรียนรู้
เพราะจมอยู่กับอัตตา และความไม่รู้สึกตัว
ส่วนสิ่งที่น่าจะเสีย ก็คือ การเสียโอกาสที่จะรับรู้และเรียนรู้ในสิ่งเหล่านี้คือ เสียโอกาสที่จะได้รู้ถึงเหตุปัจจัยตั้งแต่ต้นจนจบ หมายถึง รู้การเกิดดับของเหตุปัจจัย “เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี” ตามความเป็นจริง
เสียโอกาสที่จะได้รู้ว่าอะไรคือปัญหา อะไรไม่ใช่ปัญหา หมายถึง แยกแยะได้ว่าอะไรคือประเด็นหลัก อะไรคือประเด็นรอง และอะไรไม่ใช่ประเด็น
เสียโอกาสที่จะได้รู้ทางออกของปัญหาและวิธีป้องกัน หมายถึง รู้ความจริงและอุบายในการดับต้นตอของปัญหา รวมทั้งมีมาตรการป้องปราม มีทางหนีทีไล่ มีความยืดหยุ่น มีเหตุและผลรองรับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น
หลุมพรางบนเส้นทาง
หากพูดถึงหลุมพรางของการตื่น เท่าที่ประมวลจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในฐานะฆราวาสธรรม สามารถแจกแจงเป็นลำดับ โดยสรุปความได้ดังนี้
หลุมที่ 1 : อยากตื่น - ใช้ความอยากเป็นวิถี
หลุมที่ 2 : กิเลสคนดี - คนอื่นเลวหมด ฉันดีอยู่คนเดียว
หลุมที่ 3 : กิเลสคนเก่ง - ข้ารู้ ข้าเห็น ข้าเก่ง ข้าเป็น ฉันเพอร์เฟค ฉันสูงส่ง ฉันเป็นกูรู (ตอบได้หมดครอบจักรวาล)
หลุมที่ 4 : ติดรูปแบบ - วิธีการนี้ถูกต้องที่สุด
หลุมที่ 5 : ติดเจ้าสำนัก - อาจารย์ของข้าใครอย่าแตะ (ยึดมั่นถือมั่นในตัวบุคคล)
หลุมที่ 6 : ติดโลโก้สำนัก - สำนักกู สำนักมึง (ยึดมั่นในกลุ่มคน)
หลุมที่ 7 : รู้หมดแล้ว - อย่ามาเผือกสอนกูอีก
หลุมที่ 8 : อยากได้รับการยอมรับ - มีความสำคัญตน (ดูมานะ 9 ประการ), มีแรงเหวี่ยงขึ้นลงทางความรู้สึกที่ไม่สมดุล
หลุมที่ 9 : กับดักทางความคิด เช่น 1) การอ้างเหตุผลทุกรูปแบบเพื่อปกป้องกิเลสอัตตาตัณหาของตนเอง เพราะรู้สึกอับอาย กลัวกังวล กลัวเสียเปรียบ จึงไม่ยอมรับความจริง เช่น อ้างว่าไม่มีใครเข้าใจฉัน การโยนความผิดให้คนอื่นหรือสิ่งอื่นโดยถ่ายเดียว (คือไม่ยอมว่าผิดทุกกรณี) 2) การมีแผน (เช่น ต้องอย่างนั้น, ต้องอย่างนี้) มีความคาดหวัง 3) ยึดติดในระบบความคิด เช่น การตัดสินว่าจริง-ไม่จริง, ถูกต้อง-ไม่ถูกต้อง, เป็นธรรม-ไม่เป็นธรรม 4) ยึดติดในระบบตรรกะ เช่น ถ้าวิธีการถูกต้องจะได้ผลที่ถูกต้องเสมอ เป็นต้น 5) ยึดติดในระบบภาษา เช่น การยึดติดว่าภาษาธรรมต้องเป็นคำคม คำสวยหรู ภาษาเทพ ภาษาอารยัน เท่านั้น 6) การนึกเดาไปเองว่าตนเองตื่นรู้ 7) การอ้างลัทธิกรรมเก่า 8) การเกิดสัญญาวิปลาส 9) การเกิดทิฏฐิวิปลาส 10) การคิดว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ฆ่าได้ ทรมานได้ ด้วยการทรมานกาย 11) คิดว่าทวิภาวะทั้งปวงมีอยู่จริง
หลุมที่ 10 : กับดักทางความรู้สึก เช่น 1) การไหลตามกระแสอารมณ์ทั้งปวง ได้แก่ อคติต่างๆ เช่น การยึดความพอใจเป็นอารมณ์ (โลกสวย) การยึดความไม่พอใจเป็นอารมณ์ (โลกแตก) ยึดแต่ความสุขปฏิเสธทุกข์ (ยึดผล ปฏิเสธเหตุ) 2) การหลอกตัวเองให้อยู่ในโลกอุดมคติ เช่น โลกที่มีความถี่เดียว-ไร้ความแตกต่าง โลกที่มีแต่คนดีเท่านั้น โลกที่มีแต่ความสุขไม่มีความทุกข์ โลกที่เป็นไปดั่งใจปรารถนา 3) การสร้างอัตตาซ้อนอัตตา (เล่นละครโรงเล็กในละครโรงใหญ่) หรือสร้างตัวตนจำลอง เพื่อให้ตนกลายเป็นคนไม่ธรรมดา ดูพิเศษ ดูเหนือคนทั่วไปในโลกใบนี้ 4) เกลียดความทุกข์หรือปัญหา 5) กลัวกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง 6) การเสพติดรสชาติทางความรู้สึกทั้งสุขและทุกข์

หลุมที่ 11 : อยากบรรลุธรรม - รังเกียจสภาวปัจจุบัน ปฏิเสธความไม่สงบ ปฏิเสธความไม่สมดุล
หลุมที่ 12 : หาคน say yes - เพื่อรับรองว่าตนบรรลุธรรม (แต่ถ้ามีปัญหาก็โทษคนที่รับรองให้นี่แหละ)
หลุมที่ 13 : ผู้วิเศษ - สอนคนอื่นในฐานะผู้วิเศษ สิ่งที่สอนต้องไม่ธรรมดา ต้องอยู่เหนือธรรมชาติ ต้องดูเหมือนมีพลังอำนาจอยู่เหนือกว่าสรรพสิ่งทั้งปวง
หลุมที่ 14 : อหังการ - อันธพาลทางจิตวิญญาณที่เที่ยวกดข่มคนโน้นคนนี้ หรือหยิบเอาธรรมผู้รู้มากดข่มคนอื่นเพื่อความสาแก่ใจ
หลุมที่ 15 : เจ้าสำนัก/เจ้าชีวิต - หวงลูกศิษย์ ยึดติดว่า นี่คือศิษย์กู นั่นศิษย์มึง นี่คนของกู นั่นคนของมึง (ติดในระดับ connect เฉพาะกลุ่ม)
หลุมที่ 16 : ตังเหนียว - รู้ไม่เท่าทันอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่อง
หลุมที่ 17 : รู้ว่าง - ยึดความไม่สุขไม่ทุกข์ (อทุกขมสุขเวทนา) เป็นอารมณ์ ติดรูปฌาน ติดอรูปฌาน หลงคิดว่านั่นคือนิพพาน
หลุมที่ 18 : เสพความบริสุทธิ์ - เสพติดเอนดอร์ฟินที่หลั่งออกมาจากสมอง
หลุมที่ 19 : เสพติดพลังงานระดับสูง - เสพติดความสำเร็จ การได้รับการยอมรับในระดับสูง ไม่สลัดคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อเข้าสู่ Oneness
แต่ละข้อสามารถแบ่งออกเป็น 19 มิติหรือมากกว่านั้น และแต่ละมิติยังแบ่งออกไปได้อีกเป็นอนันต์ หลุมพรางเหล่านี้เป็นเรื่องของการเรียนรู้ ไม่ใช่เรื่องที่ควรกลัว หรือวิตกกังวลจนฟุ้งซ่าน
คนที่เคยตก 10,000 หลุม (ตัวเลขสมมติ) ยังไม่ลึกซึ้งเท่าคนที่รู้ว่านี่คือหลุม แต่ก็ยังกล้ากระโดดลงไปเพื่อเรียนรู้ หลุมละ 10,000 ครั้ง เป็นหนูติดจั่นที่รู้ว่าตัวเองติดจั่น (ดำรงอยู่ในวัฏฏะด้วยความรู้สึกตัว) เชี่ยวชาญ-ชำนาญในการเข้าและออก รู้กระบวนการผูก รู้กระบวนการแก้ (คือเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้) จนสามารถเห็นเหตุปัจจัยได้อย่างทะลุปรุโปร่ง สามารถเป็นผู้ชี้ให้เห็นซึ่งคุณ-โทษและทางออกได้ เป็นกัลยาณมิตรผู้รู้รอบด้วยปัญญาธรรม อุบายธรรม เป็นสหธรรมิกผู้ร่วมเดินทางภายในเพื่อประโยชน์ตนประโยชน์ท่านอย่างมีประสิทธิภาพ

ตื่นที่ตน สู่ตื่นทั้งสังคม
การตื่นเพื่อรู้เป็นเพียงขั้นเริ่มต้น ปัญญาเป็นแค่ส่วนประกอบ หากไม่สามารถเชื่อมต่อ (The Connected Universe) ให้เกิดความรักในเพื่อนมนุษย์ได้ การตื่นรู้หรือปัญญาใดๆ ก็ไร้ความหมาย เพราะสุดท้ายมันจะนำไปสู่ความเสื่อมในที่สุด

ในทางตรงข้าม ถ้าผู้ตื่นรู้แสวงหาการมีส่วนร่วม เปิดใจเพื่อเชื่อมต่อกันและกันเพื่อเข้าถึง Oneness กับตนเองและผู้อื่น เอกภาพบนความหลากหลายจะบังเกิดขึ้น เหมือนคำว่า “สหธรรมิกชน” หมายถึง บุคคล/กลุ่มชน ที่มีธรรมหลากหลาย แต่ก็อยู่ร่วมกันได้
มีกระบวนการเรียนรู้ซึ่งกันและกันทั้งในกระแสที่เป็นลบและบวก จนเข้าใจ ยอมรับ และปล่อยวางในทุกกระแส
ผู้เดินบนวิถีของ Oneness จะไม่ปฏิเสธใคร ทั้งไม่โอบอุ้มหรือหล่อเลี้ยงใครด้วยความไม่จริง คือ ไม่หล่อเลี้ยงกันด้วยความพอใจหรือไม่พอใจ ไม่ตกเป็นทาสของความกลัวและความไม่จริง เชื่อมต่อกันแต่ไม่เกาะเกี่ยวกัน เป็นกัลยาณมิตรที่มีธรรมเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน คือเคารพในธรรมของกันและกันแม้เห็นต่างกัน มนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ ร่างกายและจิตใจคือขันธ์ 5 ขันธ์ 5 คือ ระบบพลังงาน
Oneness ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเกิดขึ้นจาก ‘การปล่อยวางระบบพลังงาน (ขันธ์ 5)’ คืนสู่ธรรมชาติดั้งเดิม เหลือเพียงการ ‘รับรู้’ ที่ ‘ว่างรู้’ อย่างเป็นธรรมชาติ ธรรมดา มีความเป็นไปที่เชื่อมต่อกันเป็นลูกโซ่ มีความไหลเวียนเป็นปกติ มีทั้งกระแสบวกและลบ ทั้งสภาวะการสร้างและทำลาย มีทั้งการเกิดขึ้นและดับลง มีความเป็นเหตุเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน สภาวะ ‘การรับรู้’ ที่ไหลเวียนเป็นปกติเช่นนี้ คือ Oneness ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ระหว่างเพื่อนผู้มีธรรมเป็นกัลยาณมิตรที่เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความหลากหลายในเอกภาพเดียวกัน
เมื่อผู้ตื่นรู้สามารถรวมใจกันให้เป็น Oneness ย่อมสามารถสร้างสรรค์สังคมเพื่อให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมร่วมกันได้ด้วยความรักความเข้าใจ ความงามในจิตใจ และความรักในเพื่อนมนุษย์ตามความเป็นจริง

สิ่งที่ทำได้เลยก็คือ ความเข้าใจ การยอมรับ และอภัยตนเอง จากนั้นก็มองให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ‘การเชื่อมต่อ” (Connect) ด้วยอำนาจและผลประโยชน์ แท้จริงแล้วเป็น ‘การปฏิเสธการเชื่อมต่อ’ (Disconnect) การเชื่อมต่อให้ลึกถึงระดับความรู้สึกทางจิตใจนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการเข้าถึงความจริง ความงาม ความรักในตัวมนุษย์ เข้าใจตนเอง เห็นใจเห็นผู้อื่น เชื่อมโยงด้วยความรักความเข้าใจกับเพื่อนมนุษย์
หากมีชุมชนต้นแบบที่ Connect กันเป็น Oneness ได้ ก็คงจะ ‘ดีต่อใจ’ กับหลายๆ คนไม่น้อย เป็นสังคมแห่งการแบ่งปันและดูแลกันและกัน (Sharing and Caring) ด้วยหลักฆราวาสธรรม ซึ่งรวมกลุ่มคนในหลากหลายอาชีพให้มาอยู่รวมกันด้วยวิถี Oneness
สู่หนึ่งอนาคตเดียวกัน
สำหรับมุมมองผม ผมให้ค่ากับความรู้สึกมากกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มนุษย์ควรตระหนักรู้ (รู้สึกตัวทั่วพร้อม) ว่า ทุกคนมีจิตวิญญาณ วิญญาณในที่นี้คือ ‘การเชื่อมต่อ’ (The Connected Universe)
ทำไมธรรมชาติจึงไม่สร้างให้มนุษย์มีความสมบูรณ์แบบในทุกด้าน นั่นเพราะธรรมชาติสร้างมนุษย์ให้มาเชื่อมต่อเพื่อเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อให้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายของกันและกัน มนุษย์ผู้ตระหนักถึงความสำคัญในข้อนี้จึงเริ่มปฏิวัติตนเองให้สมดุลกับธรรมชาติ เริ่มต้นจาก
(1) สนใจความรู้สึกของตนเองให้น้อยลง แต่สนใจความรู้สึกของคนรอบข้างให้มากขึ้น (หลักการออกจากตนเอง)
(2) คิดให้น้อยลง แต่รู้สึกให้มากขึ้น (หลักการออกจากกลลวงของสมอง)

(3) มีความนอบน้อมต่อธรรมชาติ และมนุษย์ทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่ควรให้การนอบน้อมกันและกัน แม้พระก็ต้องนอบน้อมต่อฆราวาสตามหลัก ‘ชีวิตเราเนื่องด้วยผู้อื่น เราควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย’ และฆราวาสก็ต้องนอบน้อมต่อพระสงฆ์ในฐานะเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยและเป็นธงชัยแห่งอรหันตคุณ (หลักการแห่งความเคารพนอบน้อมต่อกันและกัน)
(4) เข้าสู่ภาวะผู้นำโดยธรรมชาติด้วยการรับใช้เพื่อนมนุษย์เพื่อลดอัตตาตนเอง เพื่อเรียนรู้ทิฏฐิ 62 รูปแบบในเพื่อนมนุษย์ เพื่อเข้าสู่ความรักความเข้าใจในเพื่อนมนุษย์อย่างถึงที่สุด เพื่อเปลี่ยนความอดทนอดกลั้นให้กลายเป็นความเข้าใจด้วยปัญญาที่ละเอียดลึกซึ้ง (หลักการลดอัตตาเพื่อยกระดับจิตให้เข้าใจเพื่อนมนุษย์)
(5) ให้มองเพื่อนมนุษย์ว่าแต่ละคนล้วนเป็นหนึ่งในตนเอง ไม่มีใครเก่งกว่าใครในทุกเรื่อง เสมอใครในทุกเรื่อง และด้อยกว่าใครในทุกเรื่อง มนุษย์มีความเท่าเทียมกันโดยธรรมชาติเช่นนี้ การเรียกร้องความเป็นธรรมที่ปรากฏขึ้นทั่วไปในทุกวันนี้จึงเป็นเพียงมายาคติที่เกิดจากความอยากให้เป็นไปดังใจปรารถนา มนุษย์พึงหันหน้าเข้าหากันด้วยศานติ คือ ตั้งเจตนาแห่งความรักความเข้าใจ มีความกล้าที่จะก้าวข้ามอัตตาในตนเอง (แม้จะต้องเจ็บปวดบ้างก็ตาม) ให้การมีส่วนร่วม และสามัคคีกัน จนกลายเป็น Oneness (หลักความเท่าเทียม/รู้รักสามัคคี)
กล่าวโดยสรุป ความรู้สึก ทัศนะ และหลักการเหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐาน 3 ประการ คือ
(1) เข้าใจตนเอง (2) เข้าใจผู้อื่น (3) เข้าถึงหน้าที่ที่มนุษย์พึงมีต่อมนุษย์