“การเดินทางที่ยาวไกลที่สุดของมนุษยชาติคือ การเดินทางจากหัวมาสู่ใจ และเมื่อได้มาถึงแล้ว การเดินทางอันยาวนานที่สุดคือการเข้าถึงใจตน เพราะใจนั้นคือที่มาของความจริง ความรัก และความศรัทธา
ขอให้เลือกฟังใจตนเองเสมอ และทำให้สอดคล้องกับใจตลอดเวลา ให้ฝึกอยู่กับใจเสมอ ทุกลมหายใจ แล้วสติกับสัมปชัญญะ (ความรู้ตัว, ความรู้ตัวทั่วพร้อม, ความรู้ชัด, ความรู้ทั่วชัด, ความตระหนัก) จะดำรงอยู่ในความเป็นคนของเรา”

ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ ครูกิ๊บ นลิศา สีตบุตร เจ้าของเฟสบุ๊คแฟนเพจ: Trainer Nalisa ชีวิตยิ่งใหญ่ ถามใจให้เป็น YouTube Channel และเว็บไซต์ trainernalisa.com ที่นำเสนอมุมมองด้านความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องมานาน 5 ปี เพื่อช่วยให้ผู้หญิงพบความสุขในชีวิต

การทำงานกับผู้หญิงนั้นก็เพราะครูกิ๊บมีความเชื่อมั่นว่า ผู้หญิงคือเสาหลักของครอบครัวที่จะผลักดันให้ผู้ชายเป็นคนดีมากขึ้นและประสบความสำเร็จในชีวิต อีกทั้งผู้หญิงยังเป็นแม่พิมพ์ของลูก การพัฒนาทักษะความสัมพันธ์ วิธีคิด และจิตวิญญาณให้ครบทุกด้านจากภายในสู่ภายนอกจึงเป็นความตั้งใจของครูกิ๊บเสมอมา
ล่าสุดครูกิ๊บยังทำกิจกรรมเพื่อกระตุ้นการตื่นรู้ พาผู้หญิงออกจากความกลัวและความขาดแคลนด้วยการจัดสอนคอร์ส “ปั้นตัวตนใหม่ ทำชีวิตให้สำเร็จ” ที่เน้นกระบวนการ หรือ facilitation โดยไม่มีค่าใช้จ่าย มีการสอนออนไลน์ควบคู่ไปกับการทำการบ้านตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือน มีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมนับหมื่นคน ทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ
ในฐานะเทรนเนอร์ ครูกิ๊บยังมีประสบการณ์โค้ชชิ่งด้านความสัมพันธ์และการบำบัดด้านจิตวิญญาณมากกว่า 4,000 เคส กว่า 7,000 ชั่วโมง รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้ง Nalisa Academy ที่เต็มไปด้วยลูกศิษย์ที่รักการพัฒนาความเป็นคนของตัวเองกว่า 2,000 คน

Base Camp: ความจริง 3 ระดับ
ครูกิ๊บมองว่า การจะเริ่มต้นเดินทางเข้าสู่โลกของใจได้นั้น เราต้องกลับมาทำความเข้าใจกระบวนการในการเห็นความจริงเสียก่อน เพราะใจนั้นเป็นที่มาของความจริง โดยความจริงนั้นแบ่งเป็น 3 จริงคือ จริงของฉัน จริงของเขา และจริงของโลก
- จริงของฉัน หรือ Personal Truth นั้น จะมีการปิดกั้น หลอกตัวเอง โกหกตัวเอง และเป็นความเชื่อส่วนบุคคล อย่างเช่น เหตุผลของการเกิดขึ้นของทุกชีวิตบนโลก ซึ่งสำหรับครูกิ๊บนั้นเชื่อว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุให้เกิดทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ
- จริงของเขา หรือ His Truth ในฐานะมนุษย์เราต่างมีข้อจำกัดในการเห็นความจริง เราจะตระหนักถึงสิ่งนี้ได้ต้องอาศัยการเห็นใจซึ่งกันและกัน (empathy) ความเห็นใจนี้เองจะสร้างจิตแห่งความกรุณาให้เกิดขึ้น
- ความจริงของโลก หรือ Universal Truth หมายถึง การเห็นความจริงในระดับสัจธรรม การเข้าถึงธรรมะที่เป็นความจริงตามธรรมชาติ และการเข้าถึงปัญญา
การเข้าถึงความจริงทั้ง 3 ส่วนนี้จะต้องทำเองด้วยตน ให้ใครมาบอกมาสอนไม่ได้ เพราะเป็นกระบวนการของการเลาะสังโยชน์ 3 ตัวแรกของตน ด้วยต

The Journey to Love
การตื่นรู้นั้นคือการค้นพบ Inner Self หรือ “จิตเดิมแท้” ตามความเชื่อทางพุทธศาสนา ซึ่งกิ๊บจะขอใช้คำว่า Inner Self เพราะความเป็นสากลทางฝั่งจิตวิญญาณ จิตเดิมแท้นั้นคือที่มาของศักยภาพอันมหาศาลในตัวเรา ผู้ใดที่สามารถ “หยุดแล้ว” ซึ่งการตามหาจากภายนอก และเริ่มทำงานกับใจตน ด้วยการนั่งมองตน เพื่อเห็นตน เพื่อเข้าใจ เพื่อทำงานกับตนได้ ผู้นั้นถือได้ว่ากำลังเดินทางเข้าสู่การค้นพบจิตเดิมแท้
เมื่อค้นพบ Inner Self การเปลี่ยนแปลงภายในที่เกิดขึ้นคือ “ศักยภาพที่จะรัก” หรือ Capacity to Love Greater
เราจะมีความรักต่อตนเองมากขึ้น และจะอ่อนไหวกับความทุกข์และความรู้สึกของผู้อื่น จนสัมผัสสภาวะที่เรียกว่า ความเมตตาจากพระเจ้า (Divine Compassion) อันเป็นที่มาของความรักและศรัทธาต่อเพื่อนมนุษย์
ความรักนั้นทำให้คนลดอัตตา คือเกิด Selflessness จนสามารถทำเพื่อผู้อื่นได้อย่างแท้จริง เสียสละให้ได้อย่างไร้เงื่อนไขใดๆ
ความรัก ทำให้คนมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า เห็นความเป็นไปได้ในทุกสิ่ง และทำได้อย่างมหัศจรรย์ ดังนั้นเมื่อศักยภาพที่จะรักอย่างไร้เงื่อนไขได้พัฒนาขึ้น ศักยภาพในการลงมือทำก็จะเกิดขึ้นตามมา
มนุษย์ไม่ได้ทะเลาะกันที่ใจ แต่เราทะเลาะกันที่ความคิด ทัศนคติ ความเชื่อ ความกลัว และตัวตนที่เรายึดมั่นไว้ ความสำคัญของการตื่นรู้ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงภายในคือ เกิดศักยภาพที่จะรัก ย่อมทำให้เราอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของความจริงโดยมีใจเป็นที่ตั้ง และมีความรักความศรัทธาในเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นแรงผลักดันให้ลงมือทำ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะทำให้การทะเลาะ การทำร้าย และความขัดแย้งต่างๆหายไป แล้วเปลี่ยนไปสู่การทำดีสูงสุด (Highest Good of All) ทั้งดีกับตัวเอง ดีกับผู้อื่น ดีกับสังคม และดีต่อโลก
โลกกำลังจะเปลี่ยนผ่านจากโลกในแบบ 3 มิติ (3 Dimensional World) ไปสู่โลกแบบ 5 มิติ (5D) ที่มีการอยู่ร่วมกันด้วยความรักเป็นพื้นฐาน ดังนั้นการตื่นรู้กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกระจายไปในวงกว้าง และเกิดขึ้นพร้อมๆกับกระบวนการล้างระบอบความเชื่อทางด้านการเมืองการปกครอง การปฏิรูปการศึกษา และความเชื่อทางศาสนา เพื่อเคลื่อนมนุษย์ไปสู่ความจริง (Truth)
กระบวนการเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปลายปี 2019 และกลุ่มคนที่เป็นผู้ทำงานแห่งแสงสว่าง Light worker คือ กลุ่มคนชุดแรกที่จะตื่นขึ้นมา เพื่อทำงานตามเหตุผลที่ได้เกิดมา เพื่อพามนุษยชาติเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกแบบ 5 มิติ ที่มีความรัก ความจริง และศรัทธาเป็นที่ตั้ง

Final Destination: สถานีสุดท้าย
กระบวนการทั้งหมดนี้จะกลายเป็นก้าวใหญ่ๆคือ การก้าวร่วมกัน จนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่เป็นการจบสิ้นลงของระบบวิธีคิดแบบเก่า คือ
- การจบลงของระบบการศึกษาที่ไม่ได้โฟกัสกับการพัฒนาเรื่องของใจ แต่สนับสนุนการแข่งขัน และเป็นการศึกษาที่เป็นเครื่องมือของการเมือง การสร้างชาตินิยม
- การจบลงของระบบการปกครองและการเมืองที่ล้างสมองคนด้วยการควบคุม, จัดการ, ใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกชนิดเพื่อครองอำนาจไว้ที่ตน แทนการรับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างเท่าเทียม รูปแบบของการรวมอำนาจไว้ที่ผู้นำที่เป็นตัวแทน (Seen Leaders) จะค่อยๆ หายไป และเปลี่ยนไปสู่ผู้นำที่ปราศจากหัวโขน (Unseen Leaders) เป็นผู้นำที่ไม่ครองอำนาจ และเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการสร้างคนจำนวนมาก ที่มีความสามารถในการลุกขึ้นมารวมคนให้ทำงานต่างๆได้อย่างสามัคคี และมีจุดหมายร่วมกันชัดเจน เพื่อสังคมของความเสมอภาค และการเกื้อกูลดูแลอย่างทั่วถึงและทันท่วงที
- การจบลงของความเชื่อทางศาสนาที่เป็นการบอกต่อๆกันมา แปลความใหม่มาหลายทอด แล้วเชื่อต่อๆกันมา ให้เป็นการเข้าถึงธรรมด้วยตน หรือปัจจัตตัง

ที่สุดแห่งการเปลี่ยนแปลง คือ การเปลี่ยนแปลงที่ตน: Inside Out
ส่วนการเปลี่ยนแปลงในก้าวเล็กๆนั้น คือการก้าวด้วยตน และเป็นสิ่งที่ก้าวทุกวัน ทุกลมหายใจ คือมีการตระหนักรู้ในตน (self-awareness) ตลอดเวลา และมันก็เป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะเป็นการอยู่กับลมหายใจ อยู่กับการตระหนักรู้ทุกความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้นตามความเป็นจริง แล้วยอมรับมัน
สุดท้ายคือ จงเป็นแสงแสวงด้วยตน และที่ตน จงหยุดตามหาจากภายนอก จากกูรู จากพิธีกรรม เพราะสิ่งที่ตามหานั้นมีอยู่แล้วที่ภายใน เหมือนที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับองคุลิมาลว่า “อาตมาได้หยุดแล้ว ท่านล่ะหยุดหรือยัง” จึงให้หยุดแสวงหา เพื่อให้เริ่มมองเห็น คือ เห็นตน ทั้งด้านมืดและด้านสว่าง จนเมื่อเราทำงานกับด้านมืดของเราด้วยแสวงสว่างที่เรามีอยู่ เราจะสว่างขึ้นได้ด้วยตน แล้วแสงสว่างที่ตนนั้นจะเปล่งประกายออกมาเป็นไฟนำทางให้กับมวลชน
หากทำได้ดังนี้เราจะเป็นที่สุดแห่งตนใน 3 ทาง คือ
- Master your being บำเพ็ญตน
- Master your mind บำเพ็ญจิต
- Master your suffering บำเพ็ญทุกขกิริยา

Long Life Journey
การตื่นรู้นั้นไม่ใช่เพียงครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นการเดินทางที่อาศัยความเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นความจริงได้ละเอียดขึ้น ลึกขึ้น กว้างขึ้น จนสามารถเป็นความจริงที่ตน สะท้อนความจริงให้กับสังคม และอุทิศตนให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันด้วยความศรัทธา
ดังนั้นกิ๊บไม่สามารถตอบได้ว่าประสบการณ์ตื่นรู้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ และด้วยเรื่องอะไรชัดเจนเจาะจงลงไปได้ เพราะชีวิตของมนุษย์แต่ละคนนั้นจะเป็นไปตามแผนของพระเจ้า(divine plan) และสิ่งต่างๆจะเกิดขึ้นในเวลาอันเหมาะสม (divine right timing) กิ๊บตอบได้แค่ว่า กิ๊บเริ่มปล่อยวางความเชื่อทางศาสนา และเข้ามาศึกษาเรื่องของใจผ่านเรกิ (Reiki) เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ผ่านความบังเอิญหลายอย่างที่เกิดขึ้นพร้อมกัน กว่าจะเดินทางออกจากหัวมาสู่ใจตนได้ ก็ล่วงเลยไปถึงเรกิ 2 และการทำงานกับตัวเองอย่างหนักหน่วงก็เริ่มขึ้นหลังจากเรกิ 3 คือเมื่อ 1 ปีกว่ามาแล้ว โดยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับกิ๊บหลังจากนั้น คือ
- การให้อภัยอันแท้จริง กิ๊บยินดีปล่อยวางการทำร้าย การหักหลัง ที่เคยเกิดขึ้นจากคนที่เรารักและคนใกล้ชิดได้ทุกคน ด้วยความสามารถที่จะรักได้ยิ่งใหญ่ ใหญ่กว่าการทำร้าย การหักหลังทั้งหมด (I’m bigger than my pains and my sufferings.)
- การค้นพบจิตเดิมแท้ (Inner Self) ที่อยู่ในตัวเอง และมันก็เป็นความรู้สึกที่ดีมากที่สามารถค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตัวเองที่งดงาม อันเป็นความรัก (Love) ความปิติ (Joy) ความสงบ (Peace) ได้
เพราะการตื่นรู้นั้นคือ การเยียวยาตนที่ภายในด้วยตน ซึ่งเป็น “ปัจจัตตัง” เราจึงเป็นความสว่างได้ด้วยตนเอง เข้าถึงธรรมได้ด้วยตน จนเป็นความสว่างได้ที่ตนด้วยตน หรือที่เรียกว่าการปรากฏเป็นแสงสว่าง “Glow”
เมื่อเราเติบโตขึ้น จิตสำนึกของเราก็ย่อมสะท้อนออกสู่โลกภายนอก (Manifest into Physical World) ในลักษณะที่เอื้อให้คนใกล้ชิดและผู้ที่เข้าร่วมกระบวนการ สามารถเยียวยาตนเองได้เช่นกัน สอดคล้องกับหลักการที่ว่า หนทางเดียวที่มนุษย์จะสามารถวิวัฒน์ไปได้คือต้องก้าวไปด้วยกัน (The only way humanity can evolve is Together.) รวมถึงทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (Butterfly Effects) ที่มองว่าการเกิดขึ้นของสิ่งเล็กๆสามารถส่งผลต่อเนื่องที่ยิ่งใหญ่ได้
ไม่มีคำว่ายาก หรือ ง่าย เพราะทุกคนมีเวลาของตัวเอง และจักรวาลก็ดูแลมนุษย์ให้เปลี่ยนผ่านด้วยกระบวนการอันชาญฉลาดอยู่แล้ว คนที่ทำงานเป็นผู้เยียวยาทุกคนทราบดีว่า เรารับใช้เพื่อนมนุษย์ตามเจตจำนงของพระเจ้าและทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีเพื่อทุกคน (We serve according to divine will and it will turn out OK for all.)

What you seek is already within you
สำหรับหลุมพราง ที่จะทำให้เราไปไม่ถึงจุดหมายนั้นมีหลายอย่างเลยทีเดียว
1.การคิดว่าตื่นแล้ว ตื่นเลย คิดว่าตัวเองเป็นคนดีเหนือคนทั่วไป หรือที่เรียกอีกอย่างว่า Spiritual Ego
วิธีแก้ – จงคิดว่าตนเป็นคนธรรมดาเสมอ เราต่างเดินบนทางของเรา ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว เพราะเราต่างมีทั้งดีและเลวในตัวเรา
2.หยุดทำงานกับตนเอง เพราะเข้าใจไปว่าตื่นแล้ว ดีแล้ว (Stop mastering self)
วิธีแก้ – ให้เข้าใจว่า การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณนั้นคือการเดินทางอันยาวไกล จึงไม่มีคำว่า “ปลายทาง” มีแต่คำว่า เดินต่อไปเรื่อยๆ และต่อให้ต้องคลานก็ต้องไปต่อ เพราะกระบวนการเปลี่ยนผ่านนั้นยาวไกลมาก การที่จะสามารถเปลี่ยนผ่านไปถึงมิติที่ 5 และ 6 และเข้าไปรวมกับตัวตนที่สูงกว่า Higher Self ได้นั้น เป็นการเดินทางอันแสนยาวไกลจริงๆ เพราะการที่จะละสังโยชน์ได้ทั้งหมดนั้น อาศัยการบำเพ็ญทุกขกิริยาจำนวนมาก เพราะด้วยทุกข์นั้นคือกุญแจไปสู่ธรรมะ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในแกนของการหนีทุกข์ และล่าสุข เราจึงวกวนอยู่ในวัฏสงสาร ที่มีทวิภาวะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงต่อไป
3.ต้องการที่จะเปลี่ยนโลก คนส่วนใหญ่พอเริ่มเข้าถึงธรรมได้บ้าง บรรลุธรรมได้บางประการ ก็จะเกิด ตัวตนทางจิตวิญญาณ (spiritual ego) เริ่มเกิดความคิดว่า จะ “เปลี่ยนโลก” โดยลืมไปว่าไม่มีใครเปลี่ยนโลกได้ เราทำได้แค่เปลี่ยนตัวเราเองเท่านั้น และเมื่อเราเยียวยาตัวเอง จนจิตสำนึกของเราเปลี่ยนไป และเมื่อหลายๆ จิตสำนึกของคนหลายๆคนที่สอดคล้องกันรวมตัวกัน ก็จะสร้างวิวัฒนาการทางจิตสำนึกให้เกิดขึ้นใน ระดับจิตสำนึกร่วมได้ และเมื่อนั้นจิตสำนึกรวมของโลก (Collective Consciousness) ก็จะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น
วิธีแก้ – ทำความเข้าใจเรื่องของจิตสำนึกรวม (collective consciousness) และวิวัฒนาการทางจิตสำนึก (consciousness evolution) ให้มากขึ้น
4.การเสพรับความรู้เข้ามาอย่างเดียว Outside In เป็นความมักง่าย และเป็นความเคยชินที่มนุษย์จะใช้วิธีการเสพรับเข้ามาทำให้ตัวเองตื่นรู้ ซึ่งการทำเช่นนั้นไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยให้ตื่นรู้ได้อย่างแท้จริงแล้ว กลับจะยิ่งทำให้หลงทางและมึนหนักกว่าเก่า
วิธีแก้ – สิ่งที่เราตามหานั้นมีอยู่ในตัวเราแล้ว What you seek is already within you. และนี่ก็เป็นที่มาของคำพูดที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับองคุลิมาลว่า “อาตมานั้นหยุดแล้ว ท่านล่ะ หยุดหรือยัง?”

Start The Journey within
หากไม่เริ่มการเดินทางภายใน ครูกิ๊บบอกว่า เธอคงมึนอยู่กับการหลอกตัวเอง หลงกับความเชื่อเดิมๆ มีชีวิตอยู่กับความโกรธ ความเกลียดที่มีต่อผู้คน ต่อชีวิต และต่อตัวเอง บ้าคลั่งอยู่การพยายาม “มี” ผ่านการไล่ล่าตามหาอะไรสักอย่าง และวกวนอยู่กับการพยายาม “พิสูจน์ตัวเอง” เพื่อให้ใครต่อใครยอมรับ
แต่เมื่อเธอได้เริ่มออกเดินทางเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับจิตเดิมแท้ หรือ Inner Self เธอพบว่า มันอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว What you seek is already within you เพื่อรอการค้นพบในตัวเรา
จนถึงวันนี้ ครูกิ๊บ หรือ Trainer Nalisa และทีมงานได้ทำโครงการอบรมคอร์ส “ปั้นตัวตนใหม่ ทำชีวิตให้สำเร็จ” มาเป็นเวลา 10 เดือนแล้ว มีนักเรียนเข้าร่วมโครงการมากกว่า 20,000 คน ผู้เรียนได้ผลทันที 30% ของนักเรียนทั้งหมด
ทีมงานล้วนเป็นจิตอาสาจากนักเรียนรุ่นก่อนที่ได้รับการพัฒนาแล้ว หันมาช่วยกันดูแลคนอื่นๆให้ตามไปด้วยกันบนเส้นทางการตื่นรู้ มาจากหลากหลายอาชีพ หลายจังหวัด แม้กระทั่งคนไทยที่อยู่ในต่างแดน ต่างเสียสละร่วมแรงใจเข้ามาช่วยกันตรวจการบ้าน เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้เดินทางไปสู่พื้นที่ที่เป็นความรัก ความสบายใจ ด้วยอุดมการณ์ที่ว่า “วันนี้และทุกวันเรามอบสิ่งที่เราหวังอยากจะได้ให้กับผู้คน” (Today and Everyday we give that which we want to receive.)
ปัจจุบันทีมอาสาฯ ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นองค์กรที่มีโครงสร้างการบริหารชัดเจน มีการจัดสอบ การอบรม และการผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาเป็น Team Lead โดยปัจจุบันนี้มีจำนวนอาสาทั้งหมดกว่า 150 คน ดูแลนักเรียนมากกว่า 3,000 คนต่อรุ่น
ปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งนี้คือพลังภายในที่เปล่งประกายออกมาจากการค้นพบศักยภาพแห่งรัก และการเชื่อมสัมพันธ์กับจิตเดิมแท้ แม้ทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงบทนำสั้นๆ ของการเดินทาง เท่าที่ทำงานกับตัวเองมาบนเส้นทางตื่นรู้ของครูกิ๊บ ครูก็ได้ทำหน้าที่เป็นเรือจ้างนำส่งอีกหลายหมื่นชีวิต ไปสู่การเริ่มต้นเดินทางบนกระบวนการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณของเขา เช่นกัน
