จิตตปัญญาศึกษา
by กัญจน์
ในบทความนี้กัญจน์จะเขียนถึง ศูนย์จิตตปัญญาศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล โดยพาคุณสำรวจที่มาของศูนย์ หลักการสำคัญ กระบวนการเรียนรู้ และผลลัพธ์ที่ได้เปลี่ยนชีวิตผู้เรียนหลายคนอย่างมีความหมาย ซึ่งจิตตปัญญาศึกษา เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งเรียนรู้ที่มุ่งเน้นเข้าใจตนเองและผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง โดยเปิดโอกาสให้คนทุกอาชีพเข้ามาสัมผัสการเรียนรู้ที่ไม่เหมือนใคร
 
ทางโครงการ Spiritual Influencer ได้รับความอนุเคราะห์จากศูนย์จิตตปัญญาศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลในการเข้าศึกษาดูงาน และ พบปะ พูดคุยกับคณาจารย์ได้แก่
รศ. ดร.นพ. ชัชวาลย์ ศิลปกิจ Chatchawan Silpakit ผู้อำนวยการศูนย์จิตตปัญญาศึกษา, อ.ดร.จิรัฐกาล พงศ์ภคเธียร รองผู้อำนวยการศูนย์จิตตปัญญาศึกษา, อ.ดร.อริสา สุมามาลย์ Arisa Sumamal, และ อ.ดร.ปฏิพัทธ์ อนุรักษ์ธรรม Tee Salueng ในวันที่ 3 ตุลาคม 2567
 
โดยกัญจน์ได้สรุปสิ่งที่คณาจารณ์ได้ให้ความรู้ข้อมูลมาดังนี้ค่ะ
 
แนวคิดของศูนย์จิตตปัญญาศึกษาเกิดจากการมองเห็นจุดอ่อนในระบบการศึกษาแบบดั้งเดิมที่เน้นเฉพาะความรู้และความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ แต่ละเลยมิติของความเป็นมนุษย์และการเข้าใจตนเอง

ศูนย์นี้จึงถูกตั้งขึ้นเพื่อเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว โดยมีเป้าหมายสร้างพื้นที่ที่เอื้อให้ผู้เรียนค้นพบความสมบูรณ์ในตนเอง และเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเข้าใจ

โดยคำว่า “จิตตปัญญาศึกษา” มาจากต้นศัพท์คือ “Contemplation”
ซึ่งศัพท์นี้อยู่ในวงการศาสนา ทั้งมุสลิม ชาวคริสต์ และพุทธ
คือการ meditation การภาวนา การใคร่ครวญ หรือ พินิจพิจารณา
เมื่อผนวกเข้ากับเรื่องการศึกษาเป็น Contemplative Education
จึงหมายถึงกระบวนการศึกษาที่มาจากการสังเกตปรากฏการณ์ภายใน
โดยทักษะที่สำคัญที่สุด คือ การสังเกตตนเองอย่างตรงไปตรงมา
โดยไม่ได้นำความคาดหวังหรือการใช้ความอยากส่วนตัวมาครอบ
เช่น ความอยากสงบ ความอยากปลดปล่อย ฯลฯ
ซึ่งการสังเกตนี้จะช่วยให้เราเกิดการเรียนรู้ “สิ่งที่ครอบงำ” เรา
ที่ทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง
เช่น ความกลัวไม่ปลอดภัย ความกลัวไม่ดีพอ ฯลฯ
 
คำว่า “Education” มาจากรากศัพท์ภาษาลาติดสองคำ คำแรกคือ Educare แปลว่า ปั้น (mold) สอน (teach) ฝึกอบรม (train) ตรงกับระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ที่เน้นถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านการบรรยาย ทาโครงการ ทำโจทย์แก้ปัญหา
 
คำที่สอง Educere แปลว่า การนำออกมาจากภายใน (to lead out, bring out) ตรงกับคำในภาษากรีซคือ Edukos แปลว่า นำออกมาจากภายใน (to draw forth from within) คือการศึกษาที่ดึงศักยภาพที่มีอยู่ภายในตัวผู้เรียนออกมา เป็นความเติบโตงอกงามจากภายในสู่ภายนอก
 
กล่าวง่าย ๆ ให้เห็นเป็นรูปธรรมคือ การศึกษามีสององค์ประกอบคือ นำเข้าไป (outside in) และนำออกมา (inside out)

อันที่จริงแล้วจะต้องอาศัยทั้งสององค์ประกอบการศึกษาจึงจะสมบูรณ์
แต่ระบบที่เป็นอยู่เน้นไปที่การศึกษาแบบนำเข้ามากกว่า มีการพัฒนารูปแบบวิธีการเรียน การประเมินผลอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจากพื้นฐานความเชื่อที่ว่า ผู้เรียนยังไม่มีความรู้ จึงเป็นจะต้องถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนไปให้ผู้เรียน

นอกนี้การศึกษาแบบ outside in ยังมีความเป็นรูปธรรม จับต้องได้ วัดผลเชิงสัมฤทธิ์ได้ชัดเจน (Objectivity) และเนื้อหาองค์ความรู้ที่ต้องนำเข้าก็เป็นประโยชน์การประกอบอาชีพโดยตรง

ส่วนการศึกษาแบบนำออกนั้น ไม่ได้มุ่งที่ความรู้และทักษะการประกอบอาชีพโดยตรง แต่มุ่งที่การนำศักยภาพภายในตัวผู้เรียนออกมา ศักยภาพภายในได้แก่ ความเชื่อมั่นศรัทธาในตนเอง กล้าคิด กล้าแสดงออก มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม รู้และยอมรับจุดอ่อน

#การเรียนรู้ทางจิตตปัญญาศึกษา คือการเรียนรู้ถึงความสมบูรณ์ความปกติ ความเป็นธรรมดา ซึ่งจะเกิดขึ้นได้คือรู้เท่าทันความไม่ธรรมดาที่รับมา หรือ เรียนรู้ทางสายกลาง รู้ทันความเกิน ๆ ความไม่กลางทั้งหลาย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องพยายามเป็นกลาง แต่คือรู้เท่าทันความไม่เป็นกลาง รู้ทันการหลงอดีต หลงอนาคต ย้ำว่าไม่ใช่การห้ามหลง เพราะการหลงคือเรื่องปกติ แต่ฝึกรู้ทันความเผลอความหลงได้ การเข้าถึงเนื้อแท้ของตนเป็นสิ่งที่อาศัยการฝึกฝน

ซึ่งความเป็นปกติที่จิตตปัญญามุ่งเน้นนั้น ไม่ใช่การเป็นคนดี
ความคิดดีไม่ดียังอาจอยู่ครบ แต่หากเราเท่าทันมัน มันก็ไม่มีอิทธิพลมาก
หากแต่การศึกษาที่นี่เน้นการเป็นคนธรรมดามมากกว่า
ความไม่ธรรมดาในที่นี้หมายถึงการบิดตัวเองเพื่อให้ได้อะไรบางอย่าง เช่น ต้องการการยอมรับ ต้องการความโดดเด่น หรือ ความพิเศษ เป็นต้น ส่งผลให้มีความคาดหวัง ความทุกข์ร้อนใจในเงื่อนไขบางอย่าง
 
การเรียนรู้ที่มีทั้ง outside in และ inside out ผ่านผู้รู้ ผ่านวิชาภาวนา ซึ่งเป็นวิชาหลัก มีทั้งการพานักศึกษาไปฝึกปฏิบัติในรูปแบบและนอกรูปแบบ
นอกจากนั้น ในทุกวิชาจะมีกระบวนการให้กลับมาสังเกตตนเอง ทำ self reflection รวมถึงมี First Person Research คือการวิจัยตัวเอง เช่น บางคนอาจวิจัยเรื่องอำนาจ มาสำรวจ “อำนาจ” ในตนเอง กลับมาตระหนักถึงความรู้สึกในปัจจุบัน ซึ่งในช่วงแรกที่เข้ามาศึกษา รู้สึกว่าตนเองตัวเล็ก ไม่ค่อยมีอำนาจจากการจบจากสถานการศึกษาที่หนึ่ง กลายเป็นรู้สึกตัวเล็กตัวน้อยไปหมดโดยอาจเผลออยู่ใต้อำนาจ เป็นต้น

ซึ่งการวิจัยตนเองแบบนี้ไม่ได้มีถูกมีผิด มีแค่ว่าเราสามารถสังเกตตนเองได้ละเอียดอ่อนแค่ไหน
 
ที่นี่มุ่งเน้นให้ผู้ศึกษามีความละเอียดในการสำรวจตนเอง จนธรรมชาติเดิมแท้ ที่ปราศจากการปรุงแต่ง ความกลัว และกรอบอื่น ๆ ในสังคมที่ครอบไว้ สามารถกลับมาทำงานได้
ผลจากการเป็นเนื้อแท้ คือ

1. การเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้งและมีความมั่นคงจากภายใน
ธรรมชาติคนเราเติบโตจากข้างใน คือการกลับมาเท่าทันปรากฏการณ์ที่เกิดข้างใน ความคิด ความรู้สึก ตัวที่จะรับรู้สภาวะต่าง ๆ
และเกิดสภาวะปัญญา
ปัญญาในที่นี้คือ การรู้ความจริงเกี่ยวกับตนเอง รู้ได้ว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอะไรแล้วจะสื่อสารอย่างไรในทิศทางที่เหมาะสม

2. เกิดเข้าใจและความเชื่อมโยงกับผู้อื่น
เมื่อเราเข้าใจตนเองแล้ว ทางศูนย์จิตตปัญญาศึกษาก็เน้นความสามารถในการสื่อสารด้วย เพื่อความสามารถในการเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้
การที่เราสามารถสาธยายสภาวะภายในให้คนอื่นรับรู้เข้าใจได้ มันก็บ่งบอกถึงความลึกซึ้งของเรา และเป็นมาตรวัดว่าเราเข้าใจสิ่งที่เราจะพูดมากน้อยแค่ไหน
ปรัชญาของเราคือการมั่นคงจากภายใน ซึ่งเป็น 21st century skill ที่สำคัญมาก

มันคือการกลับมาเข้าใจตนเอง รู้จักตนเอง เห็นความจริงด้านในตนเอง เป็นแผนที่ที่เชื่อมโยงเรากับคนอื่นได้มากขึ้น

3. ความสามารถในการเยียวยาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
เมื่อเราเข้าใจตนเองได้ดี ก็จะสามารถเข้าอกเข้าใจคนอื่นได้ด้วยเช่นกัน และบนพื้นฐานนี้ เราก็จะสามารถสร้างสัมพันธภาพในการเยียวยารักษาได้
หลายคนไม่ได้เรียน technique อะไร แต่จากความเข้าใจตนเอง ไม่ปรุง อาจส่งผลให้คนตรงหน้ามีความรู้สึกปลอดภัย รับรู้ได้ถึงพลังงานความเมตตา
บางที ประโยคเดียวกัน แต่คนพูดเป็นคนละคนกัน ความรู้สึกที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติภายในของคน ๆ นั้น
 
โดยสรุปก็คือ การเรียนรู้จิตตปัญญาศึกษา คือการเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับตัวเอง เข้ากับผู้อื่น และเข้ากับธรรมชาติ
เหมือนเอาชีวิตเข้ามาเรียนรู้ ซึ่งแต่ละคนก็อาจจะมีการเรียนรู้ในแนวทางที่แตกต่างหลากหลายกันไป
 
เรามุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาสังคมในการทำหน้าที่ของตนเองในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิม เช่น เคยเป็นอะไร ก็เรียนแล้วกลับไปเป็นอย่างนั้น เพิ่มเติมคือจัดการความทุกข์ อึดอัดคับข้องได้ดีขึ้น
หลายคนที่เข้ามาเรียน ได้ผลลัพธ์คือมองตนเองเปลี่ยนไป มองคนรอบข้างเปลี่ยนไป เห็นความเป็นมนุษย์มากกว่าสิ่งที่เห็น พบความสุขและความหมายในการมีชีวิตอยู่มากขึ้น ซึ่งเมื่อก่อน หลายคนอาจจะไม่รู้ทันความรู้สึกตนเองเท่าไหร่
 
บางคน เดิมที่เป็นครูที่ไม่เคยเห็นความสุขความทุกข์ของผู้เรียนมาก่อนเลย
แต่พอมาเรียน ก็มีความคิดว่าเราจะทำให้ห้องเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยอย่างไร
 
บางคนเป็นพนักงานบริษัท พอเรียนออกไปแล้ว ก็เห็นความสุขความทุกข์ของเพื่อนร่วมงานด้วย และเท่าทันเจตนาในการสื่อสาร เท่าทันความคาดหวัง เห็นแบบแผนความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ทันตัวเองได้มากขึ้น
 
บางคนพอเรียนแล้วอาจเห็นว่าสิ่งที่ตนเองทำมันขัดแย้งกับคุณค่าที่ตนเองยึดถือ ก็ออกมาเป็นกระบวนกร เป็นอาจารย์ที่ศูนย์ หรือ ประกอบอาชีพอื่นที่สอดคล้องกับสิ่งที่ตนเองให้คุณค่ามากขึ้น
 
ซึ่งหลายคนเจอตัวเองตอนทำวิจัยนะ
 
โดยสรุปก็คือ การศึกษาที่ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มีจุดมุ่งหมายคือ การเรียนรู้ที่จะกลับมารับผิดชอบความทุกข์ความสุข 100% ผ่านการสังเกตตนเองอย่างตรงไปตรงมา ฝึกที่จะเท่าทันตนเอง โดยต้องเข้าใจและดูแลตนเองให้ดีก่อนที่จะดูแลคนอื่น และเมื่อตนเองถึงพร้อม ก็สามารถให้ความช่วยเหลือสังคมได้โดยไม่เบียดเบียนตนเอง
โดยประโยคสำคัญที่อาจารย์ฝากไว้คือ

“ถ้าอยากจะช่วยสังคม ช่วยดูแลตัวเองให้ดี”
 
ขอบคุณทางคณาจารย์ และ WeOneness ที่ให้โอกาสได้สัมผัสระบบการศึกษาภายในที่ลึกซึ้งแห่งนี้ และได้เครื่องมือกลับไปต่อยอดในชีวิตค่ะ