Search
Close this search box.
Biography พัฒนาการมนุษย์ในแต่ละช่วงวัย
Goodness Beauty Truth

Biography

พัฒนาการมนุษย์ในแต่ละช่วงวัย

Goodness Beauty Truth

 

[ ช่วงแรกเกิด – 7 ปีแรก ]

เด็กต้องเกิดมาพร้อมความไว้ใจ (Trust) ต่อการอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเด็กได้พัฒนาให้มีความ ไว้วางใจต่อโลกใบนี้ เขาจะเชื่อว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยความดีงาม (Goodness) นั่นคือพัฒนาการที่สมวัยสำหรับช่วงแรกเกิดถึง 7 ปี แต่เด็กหลายคนที่เกิดมาแล้วรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่รัก หรือ 3 ขวบแล้วไม่สามารถบอกได้ว่าฉันอยู่นี่นะ (I Am Here) เขาจะเต็มไปด้วยความสงสัยว่าตกลงเขาเกิดมาบนโลกใบนี้เพื่ออะไร


เราพบว่าเด็กหลายคนในช่วงอายุนี้ไม่ไว้วางใจโลกเลย พอโตขึ้นมีแนวโน้มที่จะเป็นคนที่มีบุคคลิกสองขั้ว หรือที่เรียกว่าเป็น “ไบโพลาร์” เขาไม่รู้ตัวเองว่าตกลงจะเชื่อใคร ไม่รู้บุคลิกไหนเป็นบุคคลิกที่แท้จริงของเขา การสร้างให้มีความไว้ใจในช่วงนี้สำคัญมาก โลกรอบ ๆ ตัวเด็กต้องเต็มไปด้วยความดีงาม ถ้ารอบ ๆ ตัวเขาเต็มไปด้วยคนที่ฉ้อฉล ฉ้อโกง เด็กจะเห็นการโกงเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิต


ถ้าเขารู้สึกว่าเขาอยู่บนโลก (I Am Here) เขาก็จะรู้สึกว่าถูกโอบอุ้มไปด้วยสิ่งดีงาน ช่วงนี้เด็กจะเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบ (Imitation) เขาจะเลียนแบบผู้คนที่อยู่รอบตัวเขา ทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเขา เต็มไปด้วยความดีงาม เด็กเกิดมาพร้อมกับความใกล้ชิดในส่วนของจิตวิญญาณมากประหนึ่งว่าโลกนี้ยังเป็นโลกแห่งความดีงามทั้งหมด


[ ช่วงอายุ 7 – 14 ปี ]

สิ่งที่ตามมาเด็กจะพูดว่าชองหรือไม่ชอบ (Like Or Dislike) สิ่งที่ต้องเตรียมให้ลูกในช่วงนี้คือคำว่า ความสัมพันธ์ หรือสัมพันธภาพ (Relation) หมายถึง ความสัมพันธ์กับสังคมข้างนอก ถ้าไม่อย่างนั้นช่วงนี้เขาจะเป็นคนเก็บตัว (Introvert) หรือคนเปิดเผย (Extrovert)


หากเลี้ยงให้เด็กช่วงวัยนี้เป็นศูนย์กลางของบ้าน เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ไม่ชอบกินอันนี้ก็ไม่เอา ไม่ชอบหน้าคนนี้ก็ไม่อยู่ใกล้ ไม่มีความสัมพันธ์กับใครเลย เพราะเขาจะรู้สึกต่อต้านโลก โลกที่เราควรสร้างให้เด็กได้เห็นคือโลกแห่งสัมพันธภาพที่เต็มไปด้วยความงาม (Beauty)


การเรียนรู้ในช่วงวัยนี้ เป็นแบบการเคารพเชื่อฟัง (Authority) เนื่องจากว่าเขายังไม่โตเป็นผู้ใหณ่ เวลาพูดคำว่า วัยเด็ก หรือ Childhood ครอบคลุมจนถึงอายุ 14 ปี ถือว่าเขายังเป็นเด็กอยู่ การเข้าวัยรุ่นจะเลย 14 ปีไปแล้ว การเคารพเชื่อฟัง จึงจำเป็นต้องมี พ่อแม่ควรมีความชัดเจนว่า…ใช่หรือไม่ใช่…ได้หรือไม่ได้

และเราจำเป็นต้องเตรียมให้เขามีสัมพันธภาพกับคนอื่น ให้มีเพื่อนหลาย ๆ คน แม้ว่าเขาโกรธกับเพื่อน เดินมาบอกแม่ว่าไม่ชอบคนนี้เลย แต่พรุ่งนี้เขาอาจกลับมาคืนดีกัน อย่าไปให้ภาพที่ไม่ดีกับลูก เช่น โกรธร่วมกับลูก พูดให้ลูกไปจัดการเพื่อนเลย เพราะจะไปทำให้เขาทะนงตนมากในตัวเอง คิดว่าตัวเองเยี่ยม ความรู้สึก ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน ประหนึ่งเป็น พระราชา พระราชินีของบ้าน


[ ช่วงอายุ 14 – 21 ปี ]

สิ่งที่ตามมาต่อจากสัมพันธภาพคือ การแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิต (Truth) หรือความเป็นจริงของชีวิต โลกต้องเป็น ความดี ความงาม และความจริง สัจธรรมแห่งชีวิตต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ (Responsibility) การเรียนรู้ทั้งหมดของเขาต้องผ่านประสบการณ์ตรง (Direct Experience) เราพูดถึง “ฉันคิด” (I Think) หมายถึง การคิดถึงสัจธนนมของชีวิต เรารู้ว่าสิ่งที่เราคิด เราต้องรับผิดชอบต่อความคิดของเรา แล้วบนความคิดที่รับผิดชอบ ก็ต้องมาพร้อมประสบการณ์ในชีวิต เพราะ

ฉะนั้น ช่วง 14-21 ปี เป็นช่วงที่ค้นพบตัวเอง ที่เราเรียกว่า “I“ หรือการจุติ (Incarnate) ของ “I” ในช่วงหลัง 21 ปีไป

แต่ประเด็นสำคัญของสังคมบ้านเราคือ หลายคนไม่สามารถคิดอะไรที่เป็นสัจธรรมของชีวิตได้ ไม่สามารถที่จะมีประสบการณ์ได้ และไม่สามารถรับผิดชอบต่อความคิดของตนได้ จึงไม่แปลกที่การเรียนรู้ของใครหลายคนหยุดอยู่แค่นี้


เราจะพบว่าการศึกษาของบ้านเรา ครูจะออกคำสั่ง บอกให้เราทำตาม แต่พอเราไปเรียนมหาวิทยาลัย นักศึกษายังคงเรียนตามสิ่งที่อาจารย์อยากให้เป็นหรือเปล่า ถ้าเรียนอย่างนั้นเขาจะไม่ได้เรียนผ่านประสบการณ์ของชีวิตเลย เขาจะไม่มีทักษะชีวิต (Life Skill) ในช่วงนี้เขาจึงไม่สามารถรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้


ฉะนั้น ในช่วงที่ “I” ใกล้จุติมาก ๆ เป็นช่วงเวลาที่จิตวิญญาณใกล้เขามากที่สุดอีกครั้ง เขาจำเป็นต้องรู้แล้วว่า บนเส้นทางชีวิตนี้ เขาเกิดมาเพื่ออะไร อาจจะยังไม่รู้เต็ม ๆ ชัด ๆ แต่จำเป็นต้องรู้ว่าสิ่งที่ตนทำลงไปนั้นมีผลกับสังคม


ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ได้เกิดมาเพื่อตัวเอง ถ้าเราเตรียมช่วงนี้ได้ดี เราพบว่าการเรียนรู้แบบนี้ เป็นการเรียนรู้ที่เจ็บปวดมาก แต่เป็นการเจ็บปวดที่ดี (Good Pain) เพราะว่ามีใครหลายคนต้องหาเลี้ยงตัวเอง แล้วต้องส่งตัวเองเรียน ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองเลือกแล้ว แต่บางคนพ่อแม่ประคบประหงมจนถึง 21 ปี ทำให้เขากลายเป็นเด็ก

ฉะนั้น การจุติของ “I” ก็น้อย ไม่ลงมาในเนื้อในตัว ซึ่งทำให้เราพบว่าวัยรุ้นช่วงวัยนี้อาจจะถามว่า…ให้ทำอะไร สั่งมาเลยดีกว่า ไม่ต้องคิด


การจุติ (Incarnation) หมายถึง การเกิดใหม่ ความรู้สึกที่เป็นตัวตนของเรา เป็นฉัน ฉันเป็นปัจเจก ฉันแตกต่างกับคนอื่น ฉันคิดต่างกับคนอื่น ฉันรู้สึกแตกต่างกับคนอื่น ฉันอยู่บนโลกใบนี้เพราะฉันเป็นฉัน

แต่ประเด็นคือวันนี้เราไม่กล้าแสดงความที่ฉันเป็นฉันออกมา เพราะเราไม่กล้าที่จะลงไปสู่ประสบการณ์ตกับชีวิต เราไม่กล้าขบเคี้ยวของยาก เราขอเลือกของง่าย เราจึงแต่งตัวตาม ๆ กันไปหมด เขาบอกว่าแต่งตัวแบบนี้ดี เราก็แต่งตัวแบบนี้ตามกันไป


สังเกตสังคมเดี๋ยวนี้เลียนแบบกันไปหมด เพราะเลียนแบบมันง่ายมาก เป็นช่วงแรกเกิดถึง 7 ปีที่เรายังเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบ เพราะเราไม่ต้องรับผิดชอบ เราเรียนรู้แบบเคารพสั่งการ (Authority) บอกมาเลยจะให้ทำอะไร แล้วสิ่งที่เขาบอกมา เวลาผิดเราต้องรับผิดชอบมั้ย ใครรับผิดชอบ คนบอกเป็นคนรับผิดชอบ ไม่ใช่เรา

ความยากในช่วงอายุ 14 – 21 ปี คือถ้าเราไม่ได้รับผิดชอบอะไรในชีวิตเลย การจุติ ของ “I” เรายิ่งน้อยลง ความเป็นปัจเจกในตัวเราจะน้อยลงไปเรื่อย ๆ แล้วเราก็จะงงกับชีวิตว่าตัวเองอยากได้อะไร


เคยอ่านงานของนิสิตทันตแพทย์ที่ได้รางวัลของคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบอกว่า เขาค้นพบตัวเองว่า ตัวเองอยากเป็นทันตแพทย์ ก็ตอนเรียนจบไปแล้ว ตอนที่อายุ 23 ปี แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้อยากเป็นทันตแพทย์เลย เพิ่งรู้ว่าตัวเองอยากเป็นทันตแพทย์ตอนเรียนจบ


เมื่อพัฒนาการของ “I” ไม่สมบูรณ์ ก็ไม่สามารถเติมเต็มชีวิต ไม่มีความสร้างสรรค์ ไม่มีภูมิปัญญา จึงสร้างสิ่งใหม่ไม่ได้ เวลาเจอปัญหาก็ใช้วิธีการเดิมแก้ปัญหา วิธีการเลียนแบบ วิธีการสั่งมาสิ กลัวที่จะคิดริเริ่มเอง ไม่กล้าไปสำรวจโลก ทำให้ไม่มีประสบการณ์ชีวิต ชีวิตจะเป็นคุณหนู ถูกโอบเอาไว้ ไม่กล้าทำอะไรเลย

พอถึงเวลา จึงตัดสินใจไม่ได้ว่าตกลงตัวเองเอาอย่างไร หลายคนไม่สามารถทำงานร่วมกับผู้คนได้ เพราะว่าไม่กล้ารับคำตำหนิ เวลาถูกประเมินปุ๊บ ฉันลาออก ลาออกมันทุกที่


เพราะว่าเราไม่สามารถรับผิดชอบ แบกรับปัญหาของโลกใบนี้ได้ เพราะรู้สึกว่ามันใหญ่เกินไป ในทางตรงกันข้ามหากวัยรุ่นได้ออกไปมีประสบการณ์ชีวิตโดยตรง ก็อาจเกิดจุดพลิกผันได้ (Tuning Point )


[ ช่วง 21 – 28 ปี ]

ช่วงอายุ 21 – 28 ปี เป็นช่วงของความสนใจใฝ่รู้ (Interest) เพื่อไปเป็นอะไร เป็นใคร หรือ “I Will Become” จะพบว่าชีวิตมันเซ็งมาก หากไร้ความสนใจใฝ่รู้ ไม่รู้จะทำอะไร ตกลงชีวิตฉันทำได้แค่นี้หรือ ตกลงฉันอยากเป็นแบบนี้หรือ

ช่วงอายุนี้เป็นช่วงที่ตามเพื่อนมาก ใครที่ตอนแรกเรียนตามเพื่อน อาจเปลี่ยนคณะที่เรียน สนใจอะไรก็จะไปทุ่มเรียนรู้ในด้านนั้นๆ


ถ้าบุคคลได้รับการพัฒนามาดี ก็จะสนใจโลกใบนี้ ตระหนักถึงหน้าที่รับผิดชอบต่อสังคม ความสนใจใฝ่รู้จะไปพร้อมความรับผิดชอบ หากรู้แล้วว่าเราอยากเป็นแบบนี้ จึงรับผิดชอบแบบนี้


แต่บางคนอายุ 23 ปี รับผิดชอบไม่ได้ ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปทางไหน ไม่รู้ว่าอยากได้อะไร จึงเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดมาก อาจถึงฆ่าตัวตายได้ แต่บางคนที่พอรู้ว่าเป็นอะไร ก็ยังถามตัวเองว่าใช่จริงหรือ อยากได้ อยากเป็นจริงหรือไม่ ถามตัวเองอยู่อย่างนี้ว่า ตกลงชีวิตจะเอายังไงกันแน่


ช่วงนี้สะท้อนถึงความสนใจใฝ่รู้ที่ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ถ้าไม่รับผิดชอบ เราจะพบความเศร้า บ่นว่าทำไมโลกไม่ยุติธรรมกับเราเลย เริ่มเกิดเงื่อนไข (Condition) ความกลัว (Fear) และการเปรียบเทียบแข่งขัน (Competition)


เช่น ทำไมเพื่อนเราจบแล้วได้ทำงานที่นี่ ทำไมเราไม่ได้ทำหรือทำไมเราถึงโชคร้ายอย่างนี้ ทำไมต้องเป็นเรา เกิดคำถามมากมาย ทำไม…ทำไม…ทำไมไม่มีความสุขและความเบิกบาน (Joyful) ในชีวิต


[ ช่วงอายุ 28 – 35 ปี ]

ช่วง 28 – 35 ปี เป็นช่วงที่พูดถึงเรื่องสมดุลแห่งชีวิต (Balance) เพราะว่าเป็นช่วงเวลาแห่งจุดพลิกผัน (Turning Point) อีกครั้งที่สำคัญมากของชีวิต เป็นจุดที่ใครหลายคนต้องเปลี่ยนชีวิต เพราะเป็นช่วงที่กลับมาค้นหาตัวเอง ว่าเราเป็นใคร (Who Am I)


ตรงนี้ย้อนกลับมาเรื่องสัมพันธภาพ (Relationship) ถ้าเราเป็นคนเก็บตัวมาก (Introvert) จะเก็บตัวมากขึ้น อาจแทบไม่สร้างสัมพันธ์กับใครเลย จะยิ่งกลับไปหาตัวเอง ข้างในมันเล็กลงเรื่อย ๆ มีแนวโน้มจะกลายเป็นคนหดหู่ (Depress) ซึมเศร้ามาก


แล้วอาจพบว่าโลกไม่สวยงามเลย โลกแย่ หลายคนหาสมดุลไม่ได้ ระหว่างงาน ครอบครัว หรือชีวิต จะทำอย่างไร บางคนอาจบอกกับตัวเองว่า “ ตายง่ายกว่า เพราะไม่เห็นจะต้องคิดอะไรเลย “

ฉะนั้น ถ้าเราค้นพบเรื่องราวแห่งจิตวิญญาณได้มากเท่าไร เราจะค้นพบศักยภาพของตนเองว่าเราก้าวข้ามเรื่องราวแบบนี้ได้

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่จิตวิญญาณกลับเข้ามาใกล้มนุษย์มากที่สุดในช่วง เสมือนเทพธิดานางฟ้า (Angel) ได้มาปรากฏกายอีกครั้ง เพื่อบอกว่าชีวิตเราเกิดมาอะไรบางอย่าง เขาจะส่งสารมาเป็นเหตุการณ์ ผู้คน หรือสัญลักษณ์บางอย่าง เพื่อให้เราออกจากวังวนของชีวิต


แต่หลายคนออกไม่ได้ เพราะว่าไม่เปิดรับสัญญาณเลย คลื่นจูนกันไม่ได้เพราะไม่ได้เตรียมตัวมา ถูกเคาะ ถูกทุบจนงงไปหมด ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตดี


ช่วงนี้เป็นช่วงที่ยากมากที่สุดของชีวิต ฉะนั้น ใครมีเพื่อนในช่วงอายุนี้ ถ้าช่วยอะไรได้ ต้องช่วยกัน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ตกต่ำมากของชีวิต

แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่โชคดีที่จะอยู่ใกล้กับตัวตนฝ่ายสูง (Higher Self) ถ้าเรามีความไว้วางใจ ความเบิกบานแห่งชีวิต และสัจธรรมแห่งชีวิต ก็จะผ่านช่วงนี้ไป ถ้าผ่านไม่ได้ ก็จะกลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยเงื่อนไข ความกลัว และการเปรียบเทียบแข่งขัน (*ศาสดาส่วนใหญ่บรรลุความจริงสูงสุดของท่านในช่วงวัยนี้ – แอดมิน)


สมดุลในที่นี้ยังหมายถึงสันติสุขในดวงจิต (Peace Of Mind) มีความมั่นใจ และมั่นคงในชีวิตจะสามารถค้นพบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะผ่านไปได้ ถ้าหาความสันติสุขในใจได้ จะทุกข์น้อยลง


หลายคนค้นพบแสงสว่างในชีวิต เพราะว่าแสงแห่งวิญญาณ เป็นแสงที่สาดเข้ามาเพื่อบอกเราว่า จิตวิญญาณอยู่ตรงนี้ (I Am Here) เมื่อมองไปบนท้องฟ้า แสงจะสาดส่องเข้ามาในชีวิตเรา


ช่วงนี้ ของชีวิตไม่ได้เป็นแค่สีขาวและสีดำ ชีวิตมีแสงจริง ๆ แสงแห่งดวงดาวของเราแต่ละคน ที่นำพาเรามาตลอดชีวิต เพียงแต่เราไม่ได้เชื่อมโยงกลับไปเท่านั้นเอง


ชีวิตมีสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นลบ เลือกขาวดำ ไม่เจอแสง เรียกว่า ตัวตนเล็ก หรือตัวตนด้านต่ำ (Lower Self) ที่คิดแต่เรื่องตัวเอง ไม่คิดเพื่อสังคม ไม่คิดเพื่อใคร เพราะรู้สึกว่าแค่เอาตัวเองให้รอดก็จะแย่อยู่แล้ว จะไปคิดเพื่อคนอื่นทำไม


อีกด้านหนึ่งเป็นชีวิตที่มองเห็นแสง เราจึงเรียกตัวตนแบบนี้ว่า ตัวตนชั้นสูง (Higher Self) ฉะนั้น ตอนนี้จึงเป็นความท้าทายของชีวิต จริง ๆ แล้วอยู่ที่ตัวเราว่าเคยกำหนดชีวิตไว้อย่างไร เราเคยภาวนาไหม มีการสะท้อนบทสนทนากับตัวเองหรือไม่

ถ้าใครเจอจิตวิญญาณได้เร็วตั้งแต่ช่วงอายุ 18 – 19 ปี มักพบว่าช่วงนี้จะกลับไปค้นหามันอีกรอบหนึ่ง จะฟังเรื่องราวจิตวิญญาณแล้วไม่แปลก หรือลังเลสงสัย แต่คนที่อยู่ในโลกแห่งวัตถุยึดติดในความปราถนาทางกายภาพ มาฟังเรื่องราวโลกแห่งจิตวิญญาณมักตกใจ ไม่เข้าใจ


ดังนั้น การเข้าใจเร็วหรือช้า ก็ขึ้นอยู่กับเมล็ดพันธุ์ที่แต่ละคนได้เตรียมไว้แล้วนั่นเอง


[ ช่วงอายุ 35 – 42 ปี ]

ในช่วงอายุ 35 – 42 ปี เริ่มมี “ฉันคือใคร ( Who I Am )” แล้ว คำสำคัญ คือ Discernment หรือความสามารถแยกแยะได้ว่าจริง ๆ แล้ว ฉันคือใคร ฉันอยู่ตรงนี้


ตรงนี้มีความเชื่อมโยงกับช่วงอายุ 3 ขวบที่เรารับรู้ว่า ฉันยืนอยู่นี่ (I Am Here) บนโลกใบนี้ หากเด็กได้ถูกเตรียมอย่างดี ไม่ต้องกลัว


ช่วงอายุ 35 – 42 ปีก็จะผ่านไปได้ เพราะเขาไว้วางใจต่อโลกใบนี้ว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวชีวิตก็ผ่านไป เขาจะค้นพบ แยกแยะได้ว่า สิ่งนี้ใช่ฉัน สิ่งนี้ไม่ใช่ฉัน และเลือกเฉพาะสิ่งที่ใช่ไว้กับตัวในแต่ละจุดพลิกผันของชีวิต Discernment จะเป็นตัวที่ดึงเรากลับมา เราจะเกิดสติขึ้นทันที รู้ว่าตกลงจะเอาอย่างไร จะตัดสินใจอย่างไรกับชีวิตต่อไป กล้าตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิต เลือกรับผิดชอบ รับรู้ความรู้สึก ยอมรับว่าโลกใบนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่จะทำต่อไป


เส้นทางต่อจากนี้ไป เป็นเส้นทางแห่งจิตวิญญาณทั้งหมดแล้ว


[ ช่วงอายุ 42 – 49 ปี ]

ช่วงอายุ 42 – 49 ปีเป็นช่วงแห่งความกล้าหาญ (Courage) คือ คนที่ไม่กล้าพูดเพื่อตัวเอง ไม่กล้าพูดเพื่อสังคม พอถึงอายุราว 42 ปี เขาจะกล้าพูดความจริงมากขึ้น จะเป็นการพูดที่ไม่ใช่แบบวัยรุ่น แต่กล่าวถึงสัจธรรมในชีวิตผ่านประสบการณ์ และการบ่มเพาะตนเองจนกลายมาเป็นคำพูดเฉพาะตน ตระหนักว่าถ้าสิ่งที่พูด ทำให้ชีวิตดีขึ้น จึงจะพูด


ฉะนั้น จึงไม่แปลกใจที่ใครหลายคนกลายเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้นำชุมชน ผู้นำหลายคนที่ออกมาต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ทำงานเพื่อผู้อื่นมากขึ้น มักจะเกิดในช่วงอายุ 42 – 49 ปีนี้


ช่วงอายุ 14 – 21 ปี สะท้อนไปที่ช่วงอายุ 42 – 49 ปี ดังนั้น ถ้าเยาวชนในช่วงอายุ 14 – 21 ปี ได้ถูกเตรียมตัวมาดี เขาจะมีความกล้าหาญที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรที่ไม่เคยทำในชีวิต แต่เป็นการกระทำเพื่อจิตวิญญาณมากขึ้น


[ ช่วงอายุ 49 – 56 ปี ]

ช่วงอายุ 49 – 56 ปี จะก้าวเข้าสู่ชีวิตที่กลมกลืนสอดคล้อง (Harmony) มากขึ้น ๆ คือ เขาจะเริ่มรวบรวมชุมชน สร้างสัมพันธภาพที่ดีในชุมชน กลายเป็นครูในชุมชน เป็นคนที่ชี้นำในชุมชนได้

จากช่วงอายุ 35 – 42 ปี เป็นการทำงานเพื่อชุมชน ช่วงอายุ 49 – 56 ปีนี้ เขาจะกลายเป็นผู้นำทำให้ชุมชนเกิดความสันติสุขขึ้น


หากพิจารณาดูการสะท้อนของช่วงอายุ 7 – 14 ปี ที่เน้นพัฒนาเรื่องสัมพันธภาพ (Relationship) ไปสู่ช่วงสมดุล (Balance) ในช่วงอายุ 28 – 35 ปี แล้วสะท้อนต่อไปยังช่วง 49 – 56 ปี ที่ก้าวเข้าสู่ชีวิตที่สอดคล้องและกลมกลืน (Harmony)


ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการเลี้ยงดูเด็กช่วงวัย 7 – 14 ปี หากเขามีสัมพันธภาพที่ดี เขาจะสามารถสร้างสมดุล ในช่วงอายุ 28 – 35 ปี และเป็นคนที่สร้างความสอดคล้องกลมกลืนให้กับชุมชนได้ในช่วง 49 – 56 ปี


[ ช่วงอายุ 56 – 63 ปี ]

ในช่วงอายุ 35 – 42 ปี หากได้พัฒนาความสามารถในการแยกแยะแล้ว

ช่วงอายุ 56 – 63 ปีนี้จะตอบได้ชัดยิ่งขึ้นว่า ฉันคือใคร ที่จะเป็นอยู่เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น อะไรคือรอยเท้าที่ฉันจะฝากไว้บนโลกใบนี้ ตอบโจทย์แห่งการเกิดมาอย่างมีคุณค่า มีความหมาย เป็นปัญญาญาณ (Wisdom) อีกรอบหนึ่ง


สิ่งที่เขาทำในวันนี้ เป็นสิ่งที่ทำเพื่อจิตวิญญาณขั้นสูง หากพิจารณาดูการสะท้อนแรกเกิด – 7 ปี จะกลับไปสะท้อนในช่วงอายุ 56 – 63 ปี สิ่งที่เตรียมไว้ในช่วงอายุก่อน 7 ปี จะส่งผลถึงปัญญาญาณในช่วง 56 – 63 ปี

นี่คือภาพรวมทั้งหมดของชีวิต ว่าทำไมเราจึงให้ความสำคัญกับ 21 ปีแรกของชีวิต


จะมีคำถามต่อไปว่า ถ้าทำจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่ทำจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่ทำจะเกิดผลย้อนกลับ (Reverse) ไปหมด คือ ทำได้แค่เลียนแบบ ทำได้แค่ทำตามคำสั่ง ไม่สามารถริเริ่ม (Initiate) ได้ด้วยตัวเองเลย พอมีปัญหาเราก็จะแก้ปัญหาด้วยวิธีเดิม ๆ เสมอ ไม่มีแสงในชีวิต


แล้วการย้อนกลับนี้ จะส่งผลต่อการเกิดใหม่ชาติหน้า ฉะนั้น ถ้าใครได้แก้ไขและพัฒนาตนเองได้ใน 42 ปีนี้ ไม่ต้องห่วง ชาติหน้าจะไม่ต้องมาเจอแบบนี้อีก


ถ้ามีความกล้าหาญมากขึ้น ก็จะมีความสอดคล้องกลมกลืนมากขึ้น และมีปัญญาญาณมากขึ้นด้วย จะตระหนักรู้ตัวเองว่าเราสามารถใช้ชีวิตที่เป็นจิตวิญญาณ สามารถเจอจิตวิญญาณตัวเป็น ๆ อย่างนี้ได้ โดยไม่ต้องไปหลบหน้าผู้คน เป็นตัวเรา มีความมั่นใจในตนเอง เราเชื่อมั่นความสามารถของตนเอง มีความสุขเบิกบานในชีวิต แล้วรับรู้และยอมรับว่า นี่คือสัจธรรมแห่งชีวิต และทั้งหมดนี้คือภาพทั้งหมดของชีวิต..


ขอบคุณที่มา : หนังสือ Biography

การศึกษาชีวประวัติ เพื่อก้าวสู่เส้นทางแห่งความหมาย

บรรยายโดย ชินริณี วีระวุฒิวงศ์

 

Photo by Rod Long on Unsplash

Facebook
Email
Twitter
Telegram
Pinterest
Print