ก่อนหน้านี้ เราใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข บนบาทวิถีแห่งความเร่งรีบ แต่เพียงไม่นานนัก หลังจากมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด โลกต้องหยุดชะงักลง พร้อมกับปรากฏการณ์ ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนนับชั่วชีวิตของเรา
ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยผู้คน ซึ่งสวมหน้ากากอนามัยเข้าหากัน ห้าง ผับ บาร์ ปิดบริการ ร้านอาหารไม่มีเก้าอี้ให้ลูกค้านั่ง เครื่องบินหยุดบิน บนท้องถนนโล่ง การจราจรไม่มีรถติด ธุรกิจแทบทุกประเภทหยุดนิ่ง โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่ถูกแช่แข็งในทันที ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คือเกือบทุกซอกทุกมุมของโลก มีผู้คนล้มตายกันราวกับใบไม้ร่วง
ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลก ปัจจุบันมียุทโธปกรณ์มากมาย มีบุคคลที่ชาญฉลาด และยังมากล้นด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยเท่าที่เราจะคิดออก แต่กลับไม่สามารถต่อกรกับความร้ายกาจ ของไวรัสชนิดนี้ได้อย่างอยู่หมัด ส่งผลให้มียอดผู้ติดเชื้อ ในวันที 12 เมษายน สูงถึง 532,879 คน นับเป็นสถิติที่สูงที่สุดของโลก ทิ้งห่างประเทศสเปน ซึ่งมีผู้ติดเชื้อเป็นอันดับ 2 อยู่ที่ 163,027 คน อย่างไม่เห็นฝุ่น ในขณะที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศแรก ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส มียอดผู้ติดเชื้อ 82,052 คน มากเป็นอันดับ 5 โดยมียอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากทั่วโลก รวมกว่า 108,834 คนด้วยกัน
จากข้อมูลดังกล่าว พบว่าพื้นที่ที่มีการแพร่กระจายของไวรัสมากที่สุด ล้วนอยู่ในประเทศ แนวหน้าของโลกทั้งสิ้น
การมาของโควิด มีอนุภาพมากพอ ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปโดยปริยาย วิถีชีวิตของผู้คนที่เคยปกติสุข แปรเปลี่ยนไป โดยที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้
ครั้นแล้ว ในความเปลี่ยนแปลง มีส่วนดีบางประการปรากฏขึ้น ทั้งในระดับจุลภาค และระดับมหภาค เริ่มตั้งแต่ผู้คนกักตัวอยู่ในบ้าน ทำให้ทุกคนครอบครัวมีโอกาสได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา มีเวลาพูดคุย ปรับความเข้าใจกันได้ตลอดทั้งวัน รวมถึงในระดับมหภาค ก็ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างฉับพลัน เพราะไวรัสโควิด ใช้เวลาเพียงระยะสั้น ๆ ปรับปรุงมลภาวะต่าง ๆ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อโลกมาแล้วอย่างย้อยยับ ให้กลับมามีความสมดุลดังเช่นเมื่อก่อนเก่ามากยิ่งขึ้น แม้แต่องค์กรสิ่งแวดล้อมต่างประเทศ ก็ยังไม่เคยทำได้มาก่อน ทั้งยังฉายภาพให้องค์กรอนามัยโลก ได้เล็งเห็นถึงความอ่อนแอของมนุษย์ ทำให้เราได้ฉุดคิดถึงคุณค่า และมองย้อนกลับไปในอดีต ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ว่าเราได้ทำลายโลกนี้ ไปกับภาพลวงตาที่ไม่มีอยู่จริง มามากเท่าไหร่กันแล้ว
จึงกล่าวได้ว่า ไวรัสโควิด ถือกำเนิดขึ้นมาในคราบของเชื้อไวรัส ที่ช่วยให้ผู้คนได้ตระหนักรู้ อยู่กับปัจจุบัน และรับรู้ถึงผลของกระทำของตัวเองได้เร็วขึ้น
ในทางพุทธศาสนา เรียกการหลงผิดดังกล่าวว่า วิปลาส หรือวิปัลลาส 3 หมายถึง ความรู้ที่คลาดเคลื่อน การผันแปรไปจากความเป็นจริง นำไปสู่ความเข้าใจผิด การลวงตัวเอง วางใจ วางท่าที ประพฤติปฏิบัติตนไม่ถูกต้องต่อโลก ต่อชีวิต ต่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวง และเป็นเครื่องมือกีดกั้น บังตา ไม่ให้มองเห็นสัจภาวะ มี 3 อย่างคือ
1.สัญญาวิปลาส สัญญาคลาดเคลื่อน หมายรู้ผิดพลาดจากความเป็นจริง
2.จิตวิปลาส จิตคลาดเคลื่อน ความคิดผิดพลาดจากความเป็นจริง
3.ทิฏฐิวิปลาส ทิฏฐิคลาดเคลื่อน ความเห็นผิดพลาดจากความเป็นจริง (พุทธธรรม หน้า 56 , พระธรรมปิฎก ป.อ.ปยุตฺโต)
เมื่อเข้าใจได้อย่างนั้นแล้ว จึงรู้ด้วยเหตุผลว่า ทุกสิ่งในโลกล้วนไม่จีรัง ดุจดังชีวิต ซึ่งประกอบด้วยขันธ์ 5 ( รูป , เวทนา , สัญญา , สังขาร , วิญญาณ ) โดยมีสังขาร เป็นผู้ประชุมให้ทุกสิ่งรวมกัน ทำให้เกิดความอยากได้อยากมี ก่อเกิดทุกข์ขึ้นในใจ คล้ายกับชีวิตเป็นทุกข์กองใหญ่ เป็นหนามคอยทิ่มแทงให้เจ็บปวด ซึ่งหากทันทีเมื่อเราตายจากไป ขันธ์ 5 ก็จะสูญสิ้นมอดมลาย ไม่ต่างจากทุกสรรพสิ่งในโลก ที่มีเกิด มีแตกดับ เป็นธรรมดา
เราคิดว่า ตัวเองยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดในโลกนี้ แท้จริงแล้ว ไม่อาจหนีพ้นกฎเกณฑ์ความเป็นจริงของธรรมชาติไปได้
ดุจดังคำกล่าวที่ว่า เราทำสิ่งใดไว้ ก็จะได้รับสิ่งนั้นเป็นการตอบแทน เมื่อทำสิ่งดีไว้ ก็จะได้รับสิ่งดีกลับ (หมายถึง ทำดีต่อตัวเอง และ ต่อโลก ) เมื่อทำสิ่งที่ไม่ดี ก็จะได้สิ่งที่ไม่ดีกลับคืน (หมายถึง ทำไม่ดีต่อตัวเอง และ ต่อโลก ) กฎข้อนี้ ดูจะเป็นจริงที่สุด
ธรรมชาติอยู่คู่กับโลกนี้มานาน ยังมีการปรับจูนตัวเองให้ดีขึ้น ขณะที่เรา ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตายอมรับความเป็นจริงอย่างศิโรราบ ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องยาก หากเราจะปรับจูนตัวเองให้ดีขึ้น เพื่อที่จะได้อยู่คู่กับธรรมชาติในโลกนี้ ไปอีกนานแสนนาน