ที่มา : The 5 Stages of Awakening – Signposts and Pitfalls on the Path of Consciousness
By Nanice Ellis Contributing Writer for Wake Up World
การตื่นรู้จริงๆ แล้วหมายถึงอะไร ถูกต้องที่จะกล่าวว่า การตื่นรู้เป็นการเดินทางจากข้อจำกัดไปสู่อิสรภาพ หรือจากจิตหลงไม่รู้ตัวไปสู่จิตตระหนักรู้ ไม่ว่าคุณจะเลือกเดินทางในเส้นทางนี้อย่างจงใจ หรือประสบการณ์ที่คาดไม่ถึงผลักดันให้คุณเดินทางบนเส้นทางนี้ก็ตาม หากคุณเริ่มต้นแล้วก็จะไม่มีวันหันหลังกลับได้
เป็นความจริงที่ว่า การเดินทางบนเส้นทางนี้อาจยากลำบากในหลายๆ ครา แต่ไม่ว่ามันจะยาวไกลหรือท้าทายเพียงใด จุดหมายปลายทางอันพิเศษนั้นอยู่เหนือความลำบากยากเข็ญตลอดเส้นทางได้ทั้งหมด ผลลัพธ์สุดท้ายแห่งการตื่นรู้อย่างเต็มที่คือ การเป็นอิสระจากความทุกข์ในตัวตน จิตใจที่กระจ่างชัด ความปีติสุขอันไร้ขอบเขต สันติภายในใจ และสามารถเติมเต็มชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อ สภาวะตื่นรู้ประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ที่เราเคยปรารถนามาตลอด และอีกมากมาย
คุณอยู่ ณ จุดใด และจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้
การตื่นรู้มี 5 ขั้น เมื่อคุณเข้าใจแต่ละขั้นแล้ว และเข้าใจว่าคุณอยู่ขั้นใดในการเดินทางสู่การตื่นรู้ คุณจะสามารถสังเกตเครื่องบ่งชี้ได้ตลอดเส้นทาง รวมทั้งหลุมพรางที่อาจเกิดขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยง
โปรดใช้แนวทางด้านล่างนี้เป็นวิธีการเดินทางสำรวจขั้นต่างๆ ของการตื่นรู้ แต่ให้จำไว้ว่า ประสบการณ์ของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ไม่มีวิธีที่ถูกหรือผิดในการตื่นขึ้น ซึ่งเหมือนดั่งศิลปะที่งดงามและสมบูรณ์แบบทุกชิ้นนั่นเอง
การตื่นรู้ขั้นที่ 1: ตัวตนที่หลงผิด
การตระหนักรู้อย่างละเอียดของ “บางสิ่งที่เหนือกว่า” เริ่มเติบโตขึ้น
ในขั้นที่ 1 ของการตื่นรู้ พวกเราส่วนมากยังคงหลับใหลอยู่ และเราไม่แม้แต่รู้ว่าเราหลับใหลอยู่ เรายึดมั่นอยู่ในจิตสำนึกเดิมของชนหมู่มากและดำเนินผ่านไปตามจังหวะต่างๆ ของชีวิต ตามกฎระเบียบทางวัฒนธรรมและกฎหมายในแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่
เรามักจะไม่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นไป หรือค้นหาคำตอบ นอกเหนือไปจากสิ่งที่จำเป็นสำหรับความอยู่รอดและการรักษาไว้ซึ่งวิถีชีวิตของเรา
ความเป็นตัวเราถูกกำหนดโดยความเป็นตัวตนในด้านต่างๆ และเราใช้ชีวิตภายใต้โครงสร้างทางศาสนา วัฒนธรรม และหรือสังคม
เราอาจกระทั่งเล่นบทบาทของเหยื่อหรือผู้กระทำผิด
การดำเนินชีวิตของเราถูกวางโปรแกรมไว้โดยจิตหลงไม่รู้ตัว ผลที่ได้ คือ เรามองโลกเป็นสีดำและขาว หรือดีและเลวนั่นเอง เรามีแนวโน้มที่จะประมวลความคิดเกี่ยวกับโลกเป็นไปตามสิ่งที่ถูกวางโปรแกรมไว้ในตัวเรา
เพราะคนเรามีความปรารถนาอย่างมากที่จะเข้ากันได้กับคนหมู่มากและได้รับการยอมรับ ในขั้นนี้ จึงเป็นปกติที่เราจะสละความจำเป็นต่างๆ และประนีประนอมคุณค่าต่างๆ ของเรา เพื่อให้ได้รับการยอมรับและได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่เราต้องการอยู่ร่วมด้วย เพื่ออยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว วัฒนธรรม ธุรกิจ ศาสนา ฯลฯ
คุณค่าของเรามักจะมีเงื่อนไขและผูกติดอยู่กับความเป็นตัวตนหรือบทบาทในชีวิต หรือหนทางต่างๆเพื่อพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าเรามีค่า
เนื่องจากอัตตาเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนชีวิต เราจึงมักเชื่อว่าเราคืออัตตาที่เราเป็น โดยอาจมีความตระหนักรู้เพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่รู้เลยว่า ยังมีบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นในตัว
ในขั้นที่หนึ่งนี้ ความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งเร้าภายนอกตัว ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้มีความสุข เราจึงพยายามควบคุมความเป็นจริง ได้แก่ ผู้คนอื่นๆ สถานที่และประสบการณ์ต่างๆ
แม้ว่าเราพยายามที่จะควบคุมชีวิตของเรา เพื่อความสุขและความมั่นคงปลอดภัย กลายเป็นว่าเรากำลังถูกอารมณ์ของเราครอบงำ การกระทำและปฏิกิริยาของเรานั้น ขึ้นอยู่กับความรู้สึกในแต่ละขณะนั้น
เราไม่สามารถเชื่อมโยงระหว่างความคิดและความรู้สึกของเราเข้ากับประสบการณ์ในความเป็นจริง ดังนั้น เราจึงไม่อาจสามารถมีสติรู้ตัวเพื่อสร้างสรรค์ให้ชีวิตเราสอดคล้องไปกับสัจจะความเป็นจริง
แม้ว่าเราจะมีธรรมชาติของจิตหลงไม่รู้ สัญญาณแรกๆ แห่งการตื่นรู้ ที่เกิดขึ้นในขั้นที่ 1 นี้ คือ “ความรู้สึกแว๊บ” ที่เรารู้สึกมันมีบางสิ่งที่มากไปกว่านี้ หรือเกิดรู้สึกเฉลียวและสงสัยไม่แน่ใจเกี่ยวกับชีวิตและความเป็นจริง
การตื่นรู้ขั้นที่ 2 – เกิดการตั้งคำถาม
ความสงสัยที่เกิดขึ้นในขั้นที่ 1 เริ่มเปลี่ยนไปเป็นคำถามต่างๆ ที่มีความหมาย คุณจะประสบกับสัญญาณบ่งชี้แรกๆ ของการเคลื่อนจากจิตหลงไม่รู้ตัว ไปสู่จิตตระหนักรู้
ในขั้นที่ 2 แห่งการตื่นรู้ เราจะประสบกับความไม่สบายใจเพิ่มขึ้นในชีวิตของเรา มีความรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติหรือขาดหายไป เราเริ่มตั้งคำถามต่อจิตสำนึกชนหมู่มาก ต่อความถูกผิดของกฎระเบียบ ความเชื่อและกฎหมาย สิ่งต่างๆ ที่เราเคยทำให้สบายใจ เช่น ศาสนาหรือประเพณีนั้น ไม่ทำให้เราพึงพอใจอีกต่อไป และสถานที่ที่เราเคยพบคำตอบ ก็ไม่ให้ความโล่งใจแก่เราอีกต่อไปแล้ว
แม้เราเริ่มตั้งคำถามและรู้สึกข้องใจตัวตนของเรา แต่เราก็ยังคงยึดถือมัน เพราะยังคิดว่าต้องพิสูจน์คุณค่าของเราต่อไปเรื่อยๆ และเรายังไม่รู้เกี่ยวกับตัวเราที่อยู่นอกเหนือตัวตนในความเป็นมนุษย์ของเรา ในขณะที่เราข้องใจเกี่ยวกับบทบาทต่างๆ ของเรา เราอาจรู้สึกหลงทาง และกระทั่งรู้สึกถูกทรยศโดยคนอื่น หรือโดยชีวิตโดยทั่วไป
เราอาจรู้สึกตำหนิศาสนา ครอบครัว วัฒนธรรม รัฐบาล หรือโลกที่เป็นไปเสียด้วยซ้ำ เมื่อเรามีปัญหาต่างๆ เราก็อาจตำหนิกลุ่มคนบางกลุ่มเมื่อชีวิตเราผิดเพี้ยนไป ในขณะที่เราโยนความรับผิดชอบไปให้คนอื่น เราก็รู้สึกไร้อำนาจในการควบคุมชีวิตตัวเอง เพราะยังไม่ระลึกรู้ว่า ในการที่จะนำอำนาจของเรากลับมานั้นต้องอาศัยความรับผิดชอบ ของเราเอง ในขั้นนี้ เราอาจขยับที่จากการตกเป็นเหยื่อไปสู่การเป็นผู้รอดชีวิต แต่เป็นไปได้ที่เราจะยังตำหนิคนอื่นๆ พร้อมกับรู้สึกไร้อำนาจ
เราจะเริ่มถามว่า “ฉันเป็นใคร ทำไมฉันจึงอยู่บนโลกนี้”
แม้ว่าเรากำลังค้นหาคำตอบ เราก็ยังคงยึดถือในความเชื่อที่มีข้อจำกัดบางอย่าง ทำให้เรายังเป็นทาสกักขังในความจริงที่เราเคยรู้จัก เมื่อเราพยายามท้าทายความเชื่อเหล่านี้ ความกลัวกลับเหนี่ยวรั้งเราไว้ ทำให้เรายังคงหลับใหลต่อไปอีก
ในขณะที่เรารู้สึกไม่พอใจในความเป็นจริงและกำลังค้นหาคำตอบ เราอาจพบกับความสับสนครั้งใหญ่ อารมณ์ท่วมท้น ความวิตกกังวล และแม้แต่ซึมเศร้า ดูเหมือนเราพยายาม “ไล่ตาม” ชีวิต แต่เราเพียงแค่กำลัง “ผ่านสิ่งต่างๆ ” ไปอย่างไม่รู้ตัว
ในขณะที่เราประสบกับความท้าทายต่างๆ ที่เหมือนถูกออกแบบเพื่อช่วยให้เราตื่นขึ้น ความไม่สบายใจที่เรายังรับมือได้ ได้เปลี่ยนมันให้เป็นความเจ็บปวดและความทุกข์ เมื่อความเชื่อต่างๆ บั่นทอนพลังใจได้แสดงออกมาในสถานการณ์จริงและความสัมพันธ์ เราเริ่มได้เห็นแว๊บแรกของโปรแกรมในจิตหลงไม่รู้ ว่ามันคือตัวขับเคลื่อนชีวิตเรา แต่กระนั้นความต้องการที่เรายังอยากได้รับการยอมรับและเข้ากันได้กับระบบสังคม อาจจะยังมีน้ำหนักกว่าความปรารถนาที่จะปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ
แม้ว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพังทลายของโปรแกรมที่ฝังอยู่ในตัวเรา แต่เรายังคงพยายามที่จะพิสูจน์คุณค่าของเราโดยการแสดงให้เห็นความสำคัญ และแสวงหาการยอมรับผ่านความพยายามดิ้นรนต่างๆ ของเรา
เราเริ่มเข้าใจแล้วว่า ความสุขหาไม่ได้ในโลกภายนอก แต่เรายังเล่นเกมนี้อยู่ นั่นคือ การมองหาความสุขในคนอื่น สถานที่ และ ประสบการณ์ต่างๆ
ในขั้นนี้ อาจจะเกิดตัวกระตุ้นอารมณ์ต่างๆ มากมาย เราอาจจะประสบกับความเศร้าโศก หรือระลึกได้ถึงความเศร้าโศกในอดีต อารมณ์ต่างๆ จะเข้มข้นมาก และเราอาจจะรู้สึกบอบบางหรืออ่อนแอมากที่สุดในช่วงนี้ สิ่งที่เรายังไม่รับรู้ก็คือ ปัญหาต่างๆ ของเรากำลังปรากฏออกมาให้เห็น เพื่อให้มันได้รับการเยียวยาและปลดปล่อย
แม้เราจะเริ่มมองโลกในลักษณะใหม่โดยสิ้นเชิง เรายังมีความคิดแบบขาวกับดำอยู่ ซึ่งอาจยิ่งมองเห็นชัดกว่าที่เคยเป็นมา เรายังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตตัวเอง ดังนั้นจึงแทบไม่อาจเชื่อมต่อความคิดสอดคล้องกับประสบการณ์ของเราในสัจจะความเป็นจริง
เมื่อโลกภายนอกไม่สามารถดับความหิวกระหายของเราได้อีกต่อไป การเดินทางด้านในจึงกำลังได้เริ่มต้นขึ้น
การตื่นรู้ขั้นที่ 3 – มองเข้าไปภายใน
ขั้นนี้เป็นขั้นของการเติบโตของชีวิตและจิตวิญญาณที่เข้มข้น และเป็นจุดเริ่มต้นการวิวัฒนาการของจิตสำนึกรู้ผ่านทางการค้นพบตัวตน
ในขั้นที่ 3 แห่งการตื่นรู้ เราได้เริ่มการเดินทางของการมองเข้าไปภายใน ในขั้นที่ 2 เรายังดื้อด้านกับโลกภายนอก แลกผ่านความสำเร็จเพียงเล็กน้อยหรือไม่เลยในการบรรเทาความเจ็บปวด ความทุกข์หรือความไม่สบายใจ ดังนั้น ตอนนี้เราจึงถอยทัพ เราเริ่มกลับมามองหาคำตอบภายในตัวเรา
เราเริ่มดิ้นหลุดจากการยึดโยงกับจิตสำนึกชนหมู่มาก เกิดการสลัดหลุดจากความเชื่อต่างๆ ที่ถูกวางโปรแกรมไว้ในสมองเรา โดยพ่อแม่ ครู วัฒนธรรม สังคม ศาสนาและสื่อ เมื่อเราปลดปล่อยความเชื่อเหล่านี้ออกไปแล้ว เราอาจประสบกับทั้งความโศกเศร้าและความเบาสบาย หากเราเคยใช้เวลาทั้งชีวิตในการถูกกักขังอยู่ในความเชื่อต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของความทุกข์ทางอารมณ์ ความยากลำบากทางกาย และความสุขที่สูญหายไป เราอาจรู้สึกเศร้าเสียใจกับชีวิตที่เราแทบไม่เคยได้ใช้ ในขณะเดียวกัน เราอาจรู้สึกเบาสบายอย่างยิ่งเมื่อได้ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากข้อจำกัดของความเชื่อเหล่านั้น
เมื่อเราระลึกรู้ได้ว่าเราได้หลับใหลมานานเพียงใด เราจะยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้คนส่วนใหญ่ที่เรารู้จักยังหลับใหลอยู่ เราพยายามปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้น แต่ความพยายามของเราถูกมองว่าเป็นการตัดสินพวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงปิดตาปิดหูไม่รับรู้
ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า เมื่อเราลืมตาตื่นขึ้น เป็นเรื่องปกติที่เราจะต้องพบว่าเราถูกตัดสินโดยคนอื่น ทั้งเพื่อนและคนแปลกหน้า สังคม และ โลก อาจเพราะพวกเขารู้สึกถึงการตัดสินของเราเขาจึงโต้ตอบเพื่อปกป้องตัวด้วยการตัดสินเรา เราถูกมองว่าแตกต่าง แปลกประหลาด และอาจถูกมองว่าบ้า ไม่นาน เราจึงตัดสินใจเก็บการตระหนักรู้ที่กำลังเบ่งบานขึ้นไว้กับตัวเอง โดยอาจให้เหตุผลว่าการปิดปากเงียบยังดีกว่าถูกตัดสิน ณ จุดนี้ เราไม่ค่อยมีความหวังมากนักว่าคนอื่นจะตื่นขึ้นได้
เรายังคงมุ่งเน้นไปที่สิ่งต่างที่ไม่ถูกต้องในชีวิตเราและในโลก แต่ในขณะเดียวกันเรายังมีแรงต้านทานต่อการปล่อยวาง กระบวนการแห่งการปล่อยวางนี้ยังเป็นเหมือน “งานที่ต้องทำ” ในขั้นที่ 3 นี้ ในขณะที่เราเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ขั้นที่ 3 นี้เป็นขั้นที่เราตัดสินใจออกจากงานที่เราไม่ชอบ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ครอบครัว มิตรภาพ ศาสนา องค์กรและวิถีชีวิตที่ไม่สร้างพลังใจให้แก่เรา เราค่อยๆ ดิ้นหลุดจากบทบาทต่างๆ ของเรา ปฏิเสธตัวตนในอดีต และอาจถึงกับถอดถอนตัวออกจากสังคม
โครงสร้างเก่าของโลกเดิมที่เราเคยยึดถือกำลังพังทลาย และเราเริ่มไม่มองโลกเป็นขาวกับดำ หรือดีกับเลวอีกต่อไป เราเริ่มมีความรู้สึกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่า เราทั้งหลายล้วนเชื่อมโยงกัน แต่ในขณะเดียวกันเราก็อาจรู้สึกว่าเราขาดการเชื่อมโยงอย่างสิ้นเชิงกับมนุษย์คนอื่น ในหลายๆ ทาง เราเริ่มเผชิญกับขั้วตรงข้ามของชีวิตและการดำรงชีวิต
คุณลักษณะซึ่งผู้ที่อยู่ในขั้นที่ 3 พบได้อยู่เสมอ คือ ความเดียวดาย
ในมหาสมุทรของผู้คนหลายล้านคน คุณอาจรู้สึกเหมือนว่าคุณเป็นคนเดียวที่ตื่นขึ้น ไม่มีใครเข้าใจคุณ ไม่มีใครที่คุณสามารถเชื่อมต่อด้วยได้ ณ จุดนี้ คุณอาจจะต้องเริ่มตั้งคำถาม เป็น “การตั้งคำถาม” ว่า คุณเริ่มการเดินทางนี้ทำไม เราจะตื่นขึ้นมาทำไมหากต้องมากโดดเดี่ยวเดียวดายเช่นนี้
ไม่ว่าจะอย่างไร แม้คุณอาจไม่มีความสุขมาในขณะที่คุณยังหลับใหล แต่อย่างน้อยคุณก็เคยมีเพื่อน ครอบครัว และผู้คนที่ห่วงใยคุณ แต่ในตอนนี้คุณเหมือนไม่มีใครเลย และคุณก็คิดที่จะ “หันหลังกลับไป” หวังว่าจะสามารถลืมทุกอย่างที่คุณรู้ในตอนนี้ เพื่อที่คุณจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวหรือกลุ่มคนคุณโหยหา “ความเป็นปกติ” เพื่อให้เข้ากันได้กับคนอื่นๆ แต่คุณก็รู้ว่ามันสายเกินไปแล้ว คุณไม่สามารถลืมสิ่งที่คุณได้ระลึกรู้ได้แล้ว แม้รู้สึกเดียวดายและอยากจะเข้ากับคนอื่นๆ ได้ คุณก็ไม่หันหลังกลับหรือยุติการเดินทางบนเส้นทางนี้ แม้คุณจะทำได้ก็ตาม
ปัญหาเกี่ยวกับการรู้สึกมีคุณค่ามักจะเกิดขึ้นในขั้นนี้ เพราะวิธีต่างๆ ที่เราเคยใช้เพื่อพิสูจน์คุณค่าของเราใช้การไม่ได้อีกต่อไป หรือไม่มีสิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว เพราะเราได้ออกจากงานหรือสถานการณ์ที่เคยทำให้เรารู้สึกมีค่ามีความหมาย เราอาจยังพยายามมองหาการยอมรับหรือการชื่นชม หรือความปรารถนาทางอารมณ์จากผู้คนที่ยังอยู่ในชีวิตเรา แต่นั่นก็ไม่ได้เติมเต็มเราได้เหมือนที่เคยเป็น และเรารู้สึกว่างเปล่าเพราะจำต้องรับมือกับความรู้สึกสูญเสียคุณค่าด้วยตัวเราเอง
ความปรารถนาที่จะเข้ากันได้และได้รับการยอมรับจากคนอื่นค่อยๆ สูญสลายไป ผ่านความปรารถนาที่จะเป็นอิสระและตื่นขึ้น
ในการแสวงหาคำตอบและการปลดเปลื้องความทุกข์ใจ เราอาจเริ่มต้นการฝึกปฏิบัติทางจิตวิญญาณ เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือ การฝึกสติ หากเราไม่เพียงปฏิบัติเพื่อใช้เป็นหนทางในการหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่าง ก็เป็นไปได้ที่การปฏิบัติเหล่านี้จะนำพาให้เราเข้าถึงอะไรบางอย่าง หรือกระทั่ง การตื่นตระหนักรู้
ในขั้นที่ 3 นี้ เราอาจสัมผัสกับความรู้สึกของพลังที่แท้จริงเป็นครั้งแรก แต่ถ้าอัตตาฉวยคว้าพลังนี้ไป เราอาจได้พบกับการท้าทายและบททดสอบเรื่องการถ่อมตน
ถึงตอนนี้ เราอาจสามารถมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างความคิด ความเชื่อ และการสร้างสรรค์ความเป็นจริงของเราขึ้นมา ดังนั้น ผลก็คือ เราอาจพยายามที่จะควบคุมความคิดต่างๆ ของเรา แต่มันยังเป็นกระบวนการที่ยากเพราะโปรแกรมเก่าๆ กำลังคงทำงานอยู่
เราไม่ได้มองหาความสุขภายนอกตัวอีกต่อไป แต่เราอาจจะยังไม่รู้ว่าจะพบมันภายในได้อย่างไร สันติภาพและอิสรภาพ อาจกลายเป็นสิ่งสำคัญกว่าความสุข
ขั้นที่ 3 มักจะเป็นช่วงที่ยาวนานและท้าทายที่สุด แต่ก็เป็นขั้นสำคัญที่สุดบนเส้นทางของการตื่นรู้
สิ่งที่ปรากฏชัดในขั้นนี้ คือ การสลับแกว่งไปมาระหว่างการต้านทานและการปล่อยวาง สัมผัสช่วงขณะของความกระจ่างชัดและรู้แจ้ง แต่มันไม่คงอยู่ตลอดไป เป็นเรื่องปกติที่จะมีประสบการณ์ของการตื่นรู้หลายครั้งหลายคราในขั้นนี้ แม้กระทั้งรู้สึกว่าหรือนี่จะเป็นเป็นการตื่นรู้ระดับสุดท้าย ทว่าคุณก็ยังกลับไปอยู่ใน “ความเป็นจริง” ในอีกไม่กี่ชั่วโมง วันหรือสัปดาห์ต่อมา เมื่อผ่านประสบการณ์การตื่นรู้แต่ละครั้ง ความรู้สึกสัมผัสถึงตัวตนที่สูงขึ้นของคุณได้เพิ่มความเข้มข้นขึ้น คุณได้ค่อยๆ เปิดทางให้ตัวตนที่แท้จริงผุดปรากฏขึ้นในจิตสำนึกรู้ของคุณอย่างไม่รู้ตัว และค่อยๆ หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับชีวิตของคุณ
ในขั้นที่ 3 นี้ เป็นธรรมดาที่คุณจะพบกับความกลัวว่าความเป็นตัวตนของคุณจะสูญหายไป และคุณอาจดิ้นรนที่จะรักษาความรู้สึกแห่งตัวตนไว้ แต่ท้ายที่สุด เมื่อถึงจุดสิ้นสุดของขั้นนี้ การสูญสิ้นของอัตตาเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่ออัตตาสูญเสียการควบคุมในชีวิต มันมักรู้สึกคล้ายชีวิตไร้ความหมายและเป้าหมาย สิ่งนี้ทั้งมอบอิสรภาพให้แก่เรา เหมือนได้สูดอากาศอันบริสุทธิ์ หรือกำลังมอบหายนะให้แก่เรา อันนำไปสู่ความสิ้นหวังและความหมดอาลัยตายอยาก เมื่อปราศจากเป้าหมายและและเจตจำนง เราเหมือนไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรต่อไป และไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป
คุณคล้ายสังหรณ์ว่า มีการสูญเสียและราคาที่คุณต้องจ่ายเพื่อการตื่นรู้ แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็รู้สึกว่า มีบางสิ่งในตัวคุณกำลังจะตื่นขึ้น
การตื่นรู้ขั้นที่ 4 – เข้าถึงความจริง
แล้วการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ เป็นประสบการณ์ที่คุณสัมผัสได้ในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องพยายามแต่อย่างใด
ขั้นที่ 4 ของการตื่นรู้เป็นขั้นของการเข้าถึงความจริง ในที่สุด ตัวตนที่แท้จริงของคุณก็สามารถปรากฏเหนือตัวตนที่หลงยึดของอัตตา การดิ้นรนที่คุณได้ประสบใน 3 ขั้นที่ผ่านมาได้สิ้นสุดลง และคุณได้สัมผัสสันติสุขอันลึกซึ้งและรู้ว่าที่แท้จริงคุณเป็นใคร คุณไม่แสวงหาคำตอบอีกต่อไป ขั้นนี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นขั้นของ Eckhart Tolle (ผู้เขียนหนังสือ Power of Now พลังแห่งปัจจุบันขณะ)
ความเชื่อทั้งหมดของคุณใน 2 ขั้นตอนแรกได้ถูกยกเครื่องใหม่ ให้เหลือเพียงความเชื่อที่ช่วยสร้างความสอดคล้องและความสมดุล คุณได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในศิลปะแห่งการปล่อยวาง และศิโรราบต่อพลังงานที่เหนือกว่า และคุณยังสัมผัสและเข้าถึงพลังภายในที่คุณเป็นเจ้าของโดยปราศจากอัตตามาควบคุม
ความสงสัยถูกแทนที่ด้วยความศรัทธาและความไว้วางใจ คุณสามารถเห็นและเข้าใจในเหตุปัจจัยของความเป็นไปบนเส้นทางชีวิตคุณทั้งอดีตและปัจจุบัน คุณสามารถให้อภัยทุกคนสำหรับทุกเรื่อง รวมถึงตัวคุณเองด้วย
โปรแกรมที่ถูกวางไว้โดยจิตหลไม่รู้ ถูกแทนที่ด้วยจิตตระหนักรู้ และคุณไม่ถูกขังในคุกทางอารมณ์หรือความคิดอีกต่อไป
คุณเป็นผู้รับผิดชอบชีวิตทั้งชีวิต โดยไม่ตำหนิใครสำหรับเรื่องใดๆ อีกต่อไป เมื่อคุณได้ปลดปล่อยตัวคุณเองให้เป็นอิสระ ก็เท่ากับคุณก็ได้ปลดปล่อยผู้คนทั้งหมดที่เคยได้รับผลกระทบจากการตัดสินและความคาดหวังของคุณ
คุณไม่พยายามพิสูจน์ความมีคุณค่าของตนอีกต่อไป ตอนนี้ คุณตระหนักรู้และเป็นเจ้าของคุณค่าภายในที่แท้จริงของคุณ ด้วยเหตุนี้ คุณจึงเข้าถึงประสบการณ์ในการรักตนเองอย่างไร้เงื่อนไข
แม้ว่าคุณจะยังโดดเดี่ยวในการเดินทางของคุณ คุณได้สัมผัสกับการเชื่อมต่ออย่างลึกซึ้งและเต็มที่กับชีวิตในทุกด้าน และความรู้สึกโดดเดี่ยวจะค่อยๆ จางหายไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความอยากและความปรารถนาในโลกทัศน์เก่าในด้านความสัมพันธ์ได้ถูกยกระดับขึ้น และคุณไม่โหยหาในการทำให้ตัวเองให้เข้ากันได้กับคนส่วนใหญ่เพื่อทำตัวให้เป็น “ปกติ” อีกต่อไป
คุณอนุญาตให้ตัวคุณเป็นอย่างที่คุณเป็น โดยไม่ต้องจำเป็นต้องรอการอนุมัติหรือการยอมรับจากใคร คุณไม่ต้องการเปลี่ยนใครๆ อีกต่อไป หรือช่วยให้คนที่คุณรักตื่นขึ้น คุณประหลาดใจอย่างพึงพอใจที่พบว่าบางคนที่คุณรู้จักก็กำลังตื่นขึ้นแล้ว ความสัมพันธ์ทั้งหมดของคุณดีขึ้น และผู้คนหน้าใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตคุณก็สอดคล้องไปกับสิ่งที่คุณเป็น
ในขั้นนี้ คุณหลอมรวมการหยั่งเห็นด้านต่างๆ และพัฒนาความเข้าใจได้มากขึ้นสำหรับการเดินทางที่คุณได้ทำมา คุณอาจสอน เป็นพี่เลี้ยง หรือแบ่งปัน และไม่ใช่เพราะคุณรู้สึกว่าต้องทำหรือจำเป็นต้องทำ แต่เป็นเพียงเพราะมันทำให้คุณปิติสุข และคุณได้รับการนำทางให้ทำเช่นนั้น
คุณอาจมีแรงผลักดันให้ปรารถนาที่จะสนับสนุนผู้อื่นในการเดินทางของพวกเขา หรือคุณอาจไม่มีความโน้มเอียงไปในทางนั้น ถ้าคุณรับบทบาทการเป็นครู พี่เลี้ยง ผู้เยียวยา หรือโค้ช คุณจะไม่มุ่งรับผิดชอบคนอื่น แต่คุณจะมอบพลังใจให้พวกเขาเพื่อเพิ่มพลังใจให้ตัวเขาเอง คุณไม่เก็บเรื่องๆ ใดมาคิดมาก และพฤติกรรมของคนอื่นมีผลน้อยมาก หรือแทบไม่มีผลต่อคุณเลย
ในขั้นที่ 4 เป็นเรื่องปกติที่คุณจะฝึกฝนทางจิตวิญญาณ เช่น นั่งสมาธิ ฝึกโยคะ หรือฝึกสติ แต่ไม่ใช่เพราะคุณพยายามจะไปให้ถึงจุดใดหรือประสบความสำเร็จในสิ่งใด (เหมือนในขั้นที่ 3) แต่เพราะมันทำให้คุณรู้สึกดี และมันเป็นการแสดงออกโดยธรรมชาติของชีวิตคุณ
คุณอาจจะมีญาณทัศนะที่เพิ่มขึ้น และสามารถเข้าถึงปรีชาญาณที่ไร้ที่สิ้นสุด เหมือนกับว่าคุณเชื่อมต่อโดยตรงต่อแหล่งข้อมูลที่ไร้ขีดจำกัด
คุณลักษณะสำคัญในขั้นนี้ คือการเข้าถึงการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะ
คุณเข้าถึงความสันติภายในเมื่อได้ตระหนักรู้ว่าไม่มีเป้าหมายหรือความมุ่งหมายที่ต้องดิ้นรนในชีวิต ด้วยเหตุนี้ คุณจึงสามารถดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะได้โดยไม่ต้องพยายาม ความรักที่คุณมีต่อชีวิตและสรรพชีวิตกลายเป็นกระแสธารไหลผ่านอย่างไม่มีเงื่อนไข เปี่ยมด้วยสำนึกขอบคุณและซาบซึ้งในสภาวะปกติแห่งการดำรงอยู่
แนวคิดเกี่ยวกับความดีและเลวได้สลายไป และคุณมีความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ว่าภายในทุกคนและทุกอย่าง คือ ความรัก
คุณยังสำรวจตนเอง และระลึกรู้ว่าคุณยังเป็นคุณ คุณเป็นอิสระจากการควบคุมของอัตตา และไม่มี “ชิ้นส่วนแห่งความเป็นจริง” ใดๆ สูญหายไปในการเดินทางสู่การตื่นรู้ บุคลิกภาพของคุณค่อนข้างเหมือนเดิม แต่คุณกลายเป็นคนที่เข้ากับผู้อื่นได้ง่ายขึ้นและจิตใจเบาสบายขึ้น
คุณได้พบกับการหาเลี้ยงชีพที่สอดคล้องกับความเป็นตัวคุณ หรือไม่คุณก็สามารถพึงพอใจในการหาเลี้ยงชีพในปัจจุบันของคุณ
เปิดเผยจากภายใน เลือกสิ่งที่จริงแท้ และการปล่อยวางได้อย่างแท้จริง
อันที่จริงแล้ว ไม่มีความคิดถึงความสุข เพราะคุณไม่ต้องการสิ่งใดเพื่อที่จะมีความสุข คุณระลึกได้ว่าความลับของความสุข คือ การมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะ และในตอนนี้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณที่จะอยู่ในปัจจุบันตลอดเวลา
คุณได้เรียนรู้ที่จะเป็นนายของความคิดและความเชื่อของตน แต่น่าแปลกใจที่คุณอาจไม่มีความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตคุณ
แม้เป็นไปได้ที่คุณจะสัมผัสกับอารมณ์ต่างๆ อย่างมากมาย แต่อารมณ์ไม่สามารถครอบงำ หรือควบคุมทางเลือก หรือความสัมพันธ์ของคุณได้อีกต่อไป
ตัวตนที่สูงกว่าของคุณได้ถูกหลอมรวมเข้ากับร่างกายคุณ และคุณใช้ชีวิตของคุณด้วยตัวตนที่แท้จริง
ในที่สุด คุณก็มีจิตสำนึกรู้และตื่นขึ้น และรู้สึกสำนึกขอบคุณที่ “ตัวตนที่หลับใหล” ในอดีต มีความกล้าหาญและยืนหยัดผ่านการเดินทางครั้งนี้ มันช่างคุ้มกว่าสิ่งที่เสียไปเป็นล้านๆ เท่า
การตื่นรู้ขั้นที่ 5 – สร้างสรรค์อย่างจิตตื่นรู้
ความสามารถในการสร้างสรรค์ชีวิตอย่างมีสติรู้ตัวในสภาวะตื่นรู้
หลายคนที่เดินทางมาถึงขั้นที่ 4 ได้เข้าใจผิดว่ามันเป็นขั้นสุดท้ายของการตื่นรู้ แต่ที่แท้จริงแล้ว มันคือสะพานเชื่อมไปยังประสบการณ์ดียิ่งๆ ขึ้นไปของการตื่นรู้
ในขั้นที่ 5 ของการตื่นรู้ เมื่อคุณได้มีประสบการณ์และลงลึกมากขึ้นในทุกๆ คุณลักษณะต่างของขั้นที่ 4 อีกทั้งคุณจะได้ก้าวไปสู่พลังของคุณในฐานะผู้สร้างสรรค์อย่างจิตตื่นรู้
แม้ชีวิตเราจะไม่ติดอยู่กับเป้าหมายหรือเจตจำนงที่ถูกกำหนดไว้ ถึงตรงนี้คุณก็เข้าใจแล้วว่า เป้าหมายในชีวิตสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่คุณเป็นคนเลือกเอง และคุณหลอมรวมความเข้าใจด้วยการเลือกเป้าหมายชองชีวิตอย่างมีสติรู้ตัว เพราะนั่นเองคือเจตจำนงของชีวิต การทำงานและการพักผ่อนหลอมรวมเป็นหนึ่ง และคุณสัมผัสกับสันติสุขและการเติมเต็มเท่าๆ กันในทั้งสองอย่าง
คุณไม่ทำอะไรเพราะข้อผูกมัดหรือความจำเป็นอีกต่อไป แต่คุณถูกนำทางด้วยแรงบันดาลใจและแรงปรารถนาอันบริสุทธิ์
คุณมีประสบการณ์ในการเชื่อมต่อโดยตรงกับชีวิตในทุกๆ ด้าน และได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ในจริตใหม่อย่างสิ้นเชิง ด้วยผ่านญาณทัศนะเชื่อมต่อกับปรีชาญาณอันไม่สิ้นสุด ทำให้คุณอาจพัฒนากระบวนทัศน์ใหม่ในการสร้างชุมชน การสอน ถ่ายทอดหรือการเป็นผู้นำ
ในขั้นนี้ คุณจะสามารถในการดึงดูดความสัมพันธ์ต่างๆ และสร้างชุมชนที่พร้อมสนับสนุนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของมวลมนุษยชาติ เพราะเมื่อคุณสามารถเป็นนายเหนือความคิดและความเชื่อของคุณแล้ว ตอนนี้ คุณสามารถสร้างสรรค์ชีวิตที่คุณปรารถนาได้อย่างมีตระหนักรู้ตัว มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะ พร้อมไปกับการสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ เพื่ออนาคตไปด้วย
ในการเชื่อมต่ออันบริสุทธิ์กับผู้สรรค์สร้างสูงสุด คุณได้กลายเป็นช่องทางแห่งการปรากฏสำแดงผ่านทุกๆ สิ่งที่คุณทำ
บนเส้นทางสู่การตื่นรู้
ไม่ว่าตอนนี้คุณจะกำลังมีประสบการณ์การตื่นรู้ขั้นใดอยู่ก็ตาม ไม่มีถูกผิดและไม่มีแบบทดสอบให้สอบผ่านหรือสอบตก การตื่นรู้เป็นเพียงกระบวนการธรรมชาติ เหมือนดักแด้ที่ตื่นขึ้นมาในฐานะผีเสื้อ
คำถามที่มักเกิดขึ้นก็คือ แต่ละขั้นใช้เวลานานเพียงใด คำตอบก็คือ ไม่มีการระยะเวลาที่ตายตัวในแต่ละขั้น แต่เราสามารถเคลื่อนที่ผ่านแต่ละขั้นได้เร็วขึ้นและง่ายขึ้นเมื่อผ่านการฝึกการปล่อยวางอย่างมีสติรู้ตัว เพราะแท้จริงแล้ว การปล่อยวาง คือเคล็ดลับสู่การตื่นรู้นั่นเอง
ในขณะที่มีผู้คนตื่นรู้มากชื้นเรื่อยๆ เกิดการสัมผัสได้ถึงการก้าวผ่านธรณีประตูสู่การตื่นรู้ มหาชนจะทยอยตื่นรู้ขึ้นในกระบวนทัศน์ใหม่ที่แตกต่างไปจากของพวกเราที่ได้ตื่นรู้ไปแล้ว หรือกำลังตื่นรู้ในขณะนี้ ที่สุดแล้ว ขั้นของการตื่นรู้ทั้งหมดนี้อาจค่อยๆ มีความหมายน้อยลง หรืออาจหายไปทั้งหมดเลยก็เป็นได้
และไม่ว่าคุณจะอยู่ ณ ลำดับขั้นใดบนเส้นทางสู่การตื่นรู้ คุณก็ได้อยู่ในจุดที่คุณต้องอยู่แล้ว
ด้วยรัก กรุณาคุณ และการรู้คุณ
Nanice
เกี่ยวกับผู้แต่ง Nanice Ellis
Nanice Ellis เป็นโค้ชมืออาชีพในเรื่องชีวิตมากว่า 20 ปี เป็นโค้ชให้กับหญิงและชายอย่างประสบความสำเร็จมาแล้วทั่วโลก เธอเป็นผู้แต่งหนังสือ Theta Healer และ Master Neuro Linguistic Practitioner.
Nanice ช่วยให้ผู้คนก้าวกระโดดไปไกลในชีวิตของพวกเขา โดยใช้รูปแบบการโค้ชที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งได้รับการเรียกขานว่า “Nanice Effect” เธอใช้เทคนิคการดำรงอยู่ที่มีพลังและได้รับการพิสูจน์มาแล้ว ในการโค้ชผู้คนให้สามารถดึงพลังจักรวาลมาใช้เพื่อทำตามความฝัน การเชื่อมจินตนาการเข้ากับการระลึกรู้ความฝัน เธอทำงานกับผู้นำ โค้ช นักเยียวยา และใครก็ตามที่ต้องการใช้ชีวิตให้เต็มเปี่ยม
Nanice เป็นผู้แต่งหนังสือหลายเล่ม รวมถึงหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจเรื่อง “พลังอันไร้ขีดจำกัดของคุณ!” และ “แม้แต่คานธีก็หิวเป็นและพระพุทธเจ้าก็โกรธเป็น” หนังสือเล่มล่าสุดของเธอ คือ “มีช้างสีขาวขวางทางคุณอยู่หรือไม่: แนวทางการตื่นรู้และสร้างพลังใจ” นอกจากนี้เธอยังเป็นนักจัดรายการวิทยุ รายการ “ดื่มชา Chai กับ Nanice” หนังสือของเธอหาซื้อได้ที่ nanice.com/6/Books และบน Amazon
ติดตามผลงานของ Nanice ได้ที่ nanice.com
แบบทดสอบการตื่นรู้ขั้นที่ 1
- คุณคิด พูดและทำเหมือนผู้คนส่วนมากทั่วไป และไม่ยินดีที่จะคิด พูด และทำต่างออกไป
- คุณมีความพึงพอใจในงานที่คุณทำ ไม่ต้องการหรือรู้สึกว่าต้องหาทำงานที่แตกต่างออกไป
- คุณรู้สึกว่าการดำเนินตามศาสนา วัฒนธรรมและสังคมส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ไม่ได้มีผิดปกติในสิ่งเหล่านั้น
- คุณรู้สึกว่าการได้รับการยอมรับจากผู้คนรอบตัวเป็นสิ่งสำคัญ และทำให้คุณมีความสุข
- คุณรู้สึกว่าชีวิตต้องพยายามอยู่เสมอเพื่อพิสูจน์ให้ผู้คนเห็นว่าคุณมีคุณค่า
- ความสุขของคุณขึ้นอยู่กับผู้คนอื่น สังคม และประสบการณ์ที่ได้รับ
- เพื่อให้มีความสุข บ่อยครั้งคุณต้องพยายามเพื่อให้ผู้คน สังคม สร้างประสบการณ์ที่คุณพึงพอใจ
- คุณตอบสนองและกระทำสิ่งต่างๆ ไปตามความรู้สึกของคุณเป็นตัวกำหนด
- คุณรู้สึกไม่สบายใจหากปล่อยให้ความคิดนอกกรอบคนทั่วไป ส่งผลต่อการตัดสินใจและการกระทำของคุณ
- บางครั้ง คุณมีความรู้สึก “แว๊บๆ” ว่าน่าจะมีบางสิ่งที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่คนทั่วไปคิด พูด และทำ และสิ่งที่วัฒนธรรม สังคม และศาสนาเป็นอยู่
- เป็นธรรมดาที่คุณมีอารมณ์ที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะอยู่เหนืออารมณ์ที่ขึ้นลง
- คุณรู้สึกว่าถูกต้องแล้วสำหรับการมองโลกเป็นสีดำและขาว ถูกผิด ดีเลว โลกรอบๆ ตัวเป็นแบบนั้น
แบบทดสอบการตื่นรู้ขั้นที่ 2
- คุณเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายในชีวิต เริ่มตั้งคำถามต่อจิตสำนึกของชนหมู่มาก ต่อกฎระเบียบ กฎหมาย ความเชื่อ ศาสนา ประเพณี
- แม้คุณจะเริ่มตั้งคำถามในตัวตนของคุณ แต่คุณคิดวันมันยังดีอยู่ คุณยังไม่รู้สึกถึงตัวตนใหม่
- เมื่อมีปัญหา คุณยังรู้สึกไร้พลังในการควบคุมชีวิตตัวเอง แต่ตำหนิคนอื่น สิ่งอื่น เช่น ครอบครัว วัฒนธรรม รัฐบาล ศาสนา
- คุณยังคงกลัวที่จะท้าทายความเชื่อต่างๆ เพื่อเป็นคนใหม่ มีความสัมพันธ์แบบใหม่ มองโลกแบบใหม่ และมีการกระทำแบบใหม่
- คุณเกิดความกังวล ความเศร้า เพราะเริ่มรู้สึกเข้ากันไม่ได้กับสังคมและผู้คนรอบตัว เพราะกำลังค้นหาคำตอบบางอย่าง
- คุณต้องการการยอมรับและต้องการเข้ากันได้กับระบบสังคม มากกว่าต้องการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ
- คุณเริ่มรู้สึกว่าความสุขหาไม่ได้ในโลกภายนอก แต่ยังมองหาความสุขในตัวคนอื่น สถานที่ และประสบการณ์ต่างๆ
- คุณรู้สึกว่าอารมณ์ของคุณกำลังถูกกระตุ้นโดยสิ่งเร้าต่างๆ รอบตัว เกิดอารมณ์ที่เข้มข้น รู้สึกอ่อนแอ เพราะบางอย่างด้านในเริ่มเปลี่ยนแปลง
- คุณยังพยายามพิสูจน์ความมีค่าเพื่อให้ได้รับการยอมรับ มีน้ำหนักมากกว่าความต้องการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ
- คุณเห็นแว๊บแรกว่าจิตหลงไม่รู้ของคุณ เป็นตัวขับเคลื่อนชีวิต แต่ยังไม่อยากเปลี่ยนแปลงไปสู่การมีจิตตระหนักรู้
แบบทดสอบการตื่นรู้ขั้นที่ 3
1. คุณเริ่มดิ้นหลุดจากจิตสำนึกของชนหมู่มาก และการวางโปรแกรมในสมองของคุณโดยพ่อแม่ ครู วัฒนธรรม สังคม ศาสนา และสื่อ
2. คุณรู้สึกเสียดายว่าชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดหลงทาง แต่รู้สึกเบาสบายที่เป็นอิสระจากความเชื่อที่มีข้อจำกัดทั้งหลาย
3. คุณเริ่มเผชิญกับการถูกตัดสินโดยผู้คนรอบตัว เมื่อคุณพยายามปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้น พวกเขามองว่าคุณแปลกประหลาดและบ้า
4. คุณตัดสินใจเก็บการตระหนักรู้ไว้กับตัวเอง เพราะไม่อยากถูกคนอื่นตัดสิน
5. คุณต้องการหรือตัดสินใจออกจากงานที่คุณไม่ชอบ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ครอบครัว มิตรภาพ ศาสนา องค์กร และวิถีชีวิตที่ไม่สร้างพลังใจให้แก่คุณ คุณไม่เห็นด้วยกับตัวตนในอดีต คุณต้องการถอดถอนตัวออกจากสังคม
6. คุณเริ่มเห็นว่าเราทั้งหลายล้วนเชื่อมโยงกัน แต่ก็รู้สึกตัดขาดจากคนอื่นๆ เพราะสภาวะจิตต่างกันอย่างสิ้นเชิง
7. คุณรู้สึกเดียวดายเพราะไม่มีใครเข้าใจ อยากหันหลังกลับเพื่อให้เข้ากับผู้คนรอบตัวได้ แต่ก็สายไปเสียแล้วเพราะรู้สึกว่าคุณต้องเดินไปตามเส้นทางนี้
8. การมองหาการยอมรับจากผู้คนไม่เติมเต็มคุณมากเท่าเดิม
9. คุณเริ่มต้นการฝึกปฏิบัติทางจิตวิญญาณ เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการฝึกสติ แต่ไม่ได้ใช้มันเป็นหนทางในการหลีกเลี่ยงบางอย่าง แต่ใช้เพื่อนำพาให้เข้าถึงอะไรบางอย่าง เช่น การตื่นตระหนักรู้
10. สันติภาพและอิรภาพในใจ สำคัญกว่าความสุขนอกตัว
แบบทดสอบการตื่นรู้ขั้นที่ 4
1. คุณรู้สึกได้ถึงตัวตนที่แท้จริง ซึ่งอยู่เหนือตัวตนเชิงอัตตา
2. ความเชื่อเก่าๆ สลายตัวไปหมด เหลือเพียงความเชื่อที่ช่วยสร้างความสอดคล้องและสมดุล
3. คุณมองเห็นเหตุปัจจัยของเรื่องต่างๆ ในชีวิต ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
4. คุณสามารถให้อภัยทุกๆ คน รวมถึงตัวคุณเอง ในทุกๆ เรื่อง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
5. คุณเป็นผู้รับผิดชอบทั้งชีวิตของคุณ และไม่ตำหนิใครอีกต่อไป
6. คุณไม่ต้องการทำตัวให้เป็น “ปกติ” เพื่อเข้ากันได้กับคนส่วนใหญ่อีกต่อไป คุณไม่ต้องการได้รับการยอมรับ
7. คุณมีความสัมพันธ์ในลักษณะใหม่ และผู้คนที่เข้ามาในชีวิตสอดคล้อมกับความเป็นตัวคุณ
8. คุณพบกับการหาเลี้ยงชีพที่สอดคล้องกับความเป็นตัวคุณ หรือไม่ก็สามารถพึงพอใจในการหาเลี้ยงชีพในปัจจุบันของคุณ
9. คุณฝึกปฏิบัติทางจิตวิญญาณ เช่น นั่งสมาธิ ฝึกโยคะ หรือฝึกสติ แต่ไม่ใช่เพราะพยายามจะประสบความสำเร็จในสิ่งใด (เหมือนในขั้นที่ 3) แต่เพราะมันทำให้คุณรู้สึกดี และเป็นการแสดงออกโดยธรรมชาติของชีวิตคุณ
10. เป็นไม่ได้มองโลกและดำเนินชีวิตโดยใช้อัตตา คุณไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงใครหรือตัวคุณเอง มีชีวิตในปัจจุบัณขณะ อารมณ์ครอบงำคุณไม่ได้
แบบทดสอบการตื่นรู้ขั้นที่ 5
1. คุณเป็นผู้เลือกเป้าหมายในชีวิตด้วยตัวเองอย่างมีจิตตื่นรู้ ไม่ได้เลือกเพราะชีวิตถูกกำหนดโดยกรอบของสังคม
2. การพักผ่อนและการทำงานหลอมรวมเป็นหนึ่ง คุณพบกับสันติสุขและการเติมเต็มในทั้งสองอย่างเท่าๆ กัน
3. คุณมีแรงบันดาลใจที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับชีวิตอื่นๆ ผ่านญาณทัศนะ ในฐานะผู้สอน ผู้ถ่ายทอด หรือผู้นำ
4. คุณสามารถดึงดูดความสัมพันธ์ใหม่ๆ กับผู้คนใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับชีวิตคุณ
5. มีกระบวนทัศน์ใหม่ในการสร้างชุมชนเพื่อให้มนุษยชาติตื่นรู้ เพื่อโลกที่งดงามกว่า
6. คุณอยู่เหนือความคิดและความเขื่อเก่าๆ ของชนหมู่มาก
7. ไม่ว่าอะไรจะเข้ามากระทบคุณ คุณตระหนักรู้และไม่หลงเป็นทุกข์
Photo by Laura Ockel on Unsplash